เปิดใจทำความรู้จัก ผู้ว่าแบงก์ชาติ คนที่ 21

Biztalk ขอเสนอทำความรู้จัก ผู้ว่าแบงก์ชาติ คนที่ 21 ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ให้มากขึ้น ทั้งเส้นทางชีวิตและแนวคิดการทำงาน รวมถึงมุมมองต่อวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น
.
จุดเริ่มต้น ความสนใจด้านเศรษฐศาสตร์
.
“ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะตอนเด็ก ๆ ผมไม่ใช่เด็กเรียนและดูจะสนใจกีฬามากกว่าด้วยซ้ำ วิชาที่ชอบในตอนนั้นจะเป็นแนววิทยาศาสตร์ ชีววิทยา และคณิตศาสตร์ จนกระทั่งตอนที่ย้ายไปเรียนที่ฝรั่งเศส ในวิชาประวัติศาสตร์ยุโรป ยอมรับเลยว่าอาจารย์สอนเก่งมาก เขาไม่ได้สอนให้เราท่องจำแต่เป็นการวิเคราะห์ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเริ่มสนใจวิชาที่เป็นแนวสังคมศาสตร์ ประกอบกับความชอบคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐาน จึงทำให้ตัดสินใจเรียนเศรษฐศาสตร์ในที่สุด”
.
ประสบการณ์ทำงาน…ที่หล่อหลอมความเป็น ดร.เศรษฐพุฒิ
.
“ผมเริ่มต้นการทำงานที่ McKinsey ที่ New York ซึ่งช่วยหล่อหลอมทัศนคติและวิธีการทำงานให้ผมจนกระทั่งทุกวันนี้ เรื่องแรกคือ วัฒนธรรมการ debate คือ หากต้องการจะระดมความคิดกัน ไม่สำคัญว่าจะอยู่ในตำแหน่งอะไร เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ หน้าที่ของเราคือการถกเถียงกันเพื่อปิดช่องว่าง และให้แน่ใจว่าเราได้ผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้กับลูกค้า เรื่องที่สอง คือ โครงสร้างองค์กรที่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้สามารถเลือกใช้คนจากทุกทีมได้โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและประโยชน์กับงานมากที่สุด ไม่ต้องยึดติดกับโครงสร้างหรือสายงาน ภาษาที่ McKinsey ใช้คือ “one firm concept” คือ รูปแบบการทำงานที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้เราไม่หลงทาง มีแนวทางที่ชัดเจน และไม่ว่าจะทำงานที่สหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือสาขาใด เราก็สามารถต่องานกันได้เหมือนพูดเข้าใจในภาษาเดียวกัน”
.
ความท้าทาย…ของการทำงานที่แบงก์ชาติ
.
“ลักษณะโดดเด่นที่เหมือนกันของคนแบงก์ชาติและธนาคารโลก คือมีความเป็น technocrat หมายถึง ละเอียด เชี่ยวชาญ ลงลึกรู้จริง แต่เพราะเรามีเวลาและข้อมูลที่จำกัด โดยเฉพาะในยามที่เราต้องเร่งเยียวยาแก้ไข จึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์เต็ม 100% ได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างสมัยผมทำงานที่ธนาคารโลก รายงานบางอย่างก็รู้สึกเหมือนเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ทำเพื่อเก็บไว้มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์ในวงกว้าง จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย
.
“ดังนั้น การทำสิ่งที่ถูกต้องและให้ถูกเวลาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผมเรียกว่า getting the right things right หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพคนแบงก์ชาติไม่ใช่นักวิจัยที่อยู่ในห้องแล็บ แต่ผมมองว่าเราคือหมอที่มีคนไข้ที่รอการรักษาและเราจะต้องทำอะไรบางอย่าง เราเป็นหน่วยงานที่ต้องผลิตนโยบายที่ work และใช้ได้จริงแต่ไม่ได้ผลิต work of art”
.
จากประสบการณ์การแก้วิกฤติปี 40 สู่มุมมองต่อวิกฤติโควิด 19
.
“วิกฤติปี 40 อาจจะเป็นเรื่องที่กระทบกับความรู้สึกของคนแบงก์ชาติมากกว่า เพราะเกิดกับสิ่งที่อยู่ในความดูแล เช่น สถาบันการเงิน ทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งครั้งนั้นยังพอมีตำรา มีเครื่องมือที่ช่วยแก้ไข แต่ครั้งนี้เกิดจากปัจจัยภายนอกที่ลุกลามและส่งผลกระทบเชื่อมโยงถึงกันหมดทั้งโลก ในครั้งนี้จึงหนักกว่าปี 40 ซึ่งแก้ได้ยากกว่า เพราะผลกระทบกระจายเป็นวงกว้างและลงลึกไปถึงผู้ประกอบการและประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งความคาดหวังจากภายนอกต่อแบงก์ชาติสูงขึ้นและบางอย่างก็อยู่นอกเหนือความสามารถของเราเองด้วยซ้ำ ครั้งนี้จึงเป็นปัญหาที่ไม่มีทางแก้ใดทางแก้หนึ่งเป็นสูตรสำเร็จ ต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากหลายฝ่าย ซึ่งเราต้องสื่อสารให้เข้าใจว่าความท้าทายนี้หนัก ยาก ยาวนาน แต่แก้ได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลา
.
“บทเรียนที่ผมได้เรียนรู้จากปี 40 คือ การแก้ปัญหาจากภาครัฐ เราจะทำมากเกินไปไม่ได้ เพราะภาครัฐมีความสามารถในการจัดการที่จำกัดและลดลงด้วยในปัจจุบัน รวมถึงนโยบายที่มีต้นทุน และผลข้างเคียง หากสาดกระสุนไปโดยขาดความแม่นยำอาจกลายเป็นผลลบ เพราะเมื่อถึงคราวจำเป็นแล้วอาจไม่เหลือกระสุนให้ใช้ ซึ่งหากสังคมขาดความเชื่อมั่น ก็จะทำให้องค์กรที่มีหน้าที่กำกับดูแลและออกนโยบายทำงานยากขึ้นหลายเท่าเช่นกัน”
.

Related Posts

Scroll to Top