ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) มีมติปรับคาดการณ์ จีดีพี.ไทยปี 64 มาอยู่ที่ 0-1% เป็นการปรับตัวดีขึ้นจากการประเมินครั้งก่อนหน้าคาดว่าจะติดลบที่ 0.5 – 1% โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ให้ภาคธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ ประกอบกับมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐ เช่น คนละครึ่ง และ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง มีการจัดหาและกระจายวัคซีนได้มากขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามเห็นว่า รัฐบาลควรมีมาตรการเสริม ทั้งช้อปดีมีคืน และเติมเงินให้คนละครึ่ง จาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้นและช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงแผนการเปิดประเทศที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่ง กกร. กำลังรวบรวมประเด็นข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับมาตรการการเงิน การคลัง และภาษี และส่งหนังสือเพื่อขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีภายในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม ที่ประเมินว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่า กระทบต้นทุนการผลิต การขนส่ง รวมถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยขอให้รัฐบาลเร่งเข้ามาดูแล เนื่องจาก แนวทางของ กบง. ที่ลดการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน และตรึงราคาดีเซล ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร มองว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในขาขึ้น ซึ่งรัฐต้องวางแผนบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้ซ้ำเติมและกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ กกร. ประเมินตัวเลขการส่งออกปีนี้ คาดว่าจะขยายตัว 12.0% ถึง 14.0% จากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดี ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2%
ขณะเดียวกัน กกร.ขอให้รัฐบาลเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการเข้าร่วมการเจรจา CPTPP เนื่องจาก ปัจจุบันทางจีน สหราชอาณาจักร และไต้หวัน ได้มีเจตจำนงเข้าร่วมเจรจากับ CPTPP อย่างชัดเจนแล้ว และหากไทยยังล่าช้าไปกว่านี้ อาจทำให้ต้องเจรจาตามเงื่อนไขของประเทศทั้ง 3 เพิ่มเติม จากเดิม ที่จะต้องเจรจากับ 11 ประเทศที่เป็นสมาชิก CPTPP ในปัจจุบัน และทำให้ไทยเสียโอกาสในการแข่งขันทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์
