ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การใช้สมาร์ทโฟนทั่วโลกที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทย ในปี 2017 มีผู้ใช้สมาร์ทโฟนสูงถึง 93.61 ล้านเลขหมาย ในจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั้งหมด มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำผ่านสมาร์ทดีไวซ์ 46 ล้านคน ส่งผลให้การช้อปปิ้งออนไลน์มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นตามไปด้วย และเมื่อกระแสดิจิทัลผสมกับเทรนด์ Cashless Society ที่คนทั่วโลกตระหนักและปรับตัวเข้ากับยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ไทยเองก็มีการตื่นตัวไม่น้อยที่เห็นได้ชัดคือการซื้อสินค้าและการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น
แนวโน้ม Cashless และการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดอีคอมเมิร์ซในไทย ประกอบกับการผลักดันไทยสู่ Cashless Society อย่างจริงจังของภาครัฐ ด้วยบริการพร้อมเพย์ และ QR Code ได้สนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มหันมาชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น (e-Payment) และสำหรับธุรกิจค้าปลีกมีการปรับตัวอย่างมากเช่นกันในการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด โดยปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจค้าปลีกต้องปรับตัว ได้แก่ หนึ่งผู้บริโภคให้ความสนใจซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น สองผู้บริโภคชอบความสะดวกสบายในการจับจ่ายใช้สอย สามลดปัญหาด้านความปลอดภัยเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าด้วยเงินสดจำนวนมากๆ และสุดท้ายเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าในกรณีที่ลูกค้ามีเงินสดติดตัวมาไม่พอจ่าย
ด้านพฤติกรรมผู้บริโภคกับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์นั้น วีซ่าเปิดเผยว่าคนไทยชำระเงินผ่าน QR Code คิดเป็น 74% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยแบ่งเป็นการชำระบิลต่างๆ 50% ชำระเงินในร้านสะดวกซื้อ 39% และชำระเงินในร้านขายของชำ 36% ซึ่งหากคนกรุงเทพฯ จำนวน 10.6 ล้านคน หันมาใช้จ่ายทางอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 1.26 แสนล้านบาท
มีการคาดการณ์ว่าภายในอีก 5 ปี คนไทยจะใช้เงินสดกันน้อยลง และหันมาใช้จ่ายผ่านบัตรและช่องทางอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น เนื่องจากโครงการขยายการใช้บัตร (Expansion of Card and Card Acceptance) ภายใต้นโยบาย National e-Payment ที่กำหนดให้ร้านค้าที่จดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ทุกแห่งต้องมีเครื่อง EDC เพื่อเพิ่มอัตราการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งเหล่านี้ทำให้ร้านค้าต่างๆ ต้องปรับตัวไปสู่โหมดการค้าขายในอนาคตเพื่อให้พร้อมรองรับการจ่ายในทุกรูปแบบ
ดังนั้น รูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้มีความก้าวหน้าและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เมื่อผู้บริโภคทำธุรกรรมสะดวก รวดเร็ว สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินต่างๆ ได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการในประเทศที่จะพัฒนาการค้าในธุรกิจค้าปลีกให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค เนื่องจากสามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ต้องพกเงินสด ได้รับความสะดวกสบายและมีความปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย
ในปีนี้ทรูมันนี่ได้มีการขยายบริการการใช้จ่ายผ่านวอลเล็ตไปยังธุรกิจค้าปลีกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักผ่านรูปแบบความร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายมากขึ้นเพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้ทุกวัน ไปจนถึงกลุ่มอาหารบริการด่วน ร้านกาแฟ ร้านขนมปัง ที่มีสาขาจำนวนมาก และขณะนี้มีร้านอาหารที่สามารถจ่ายเงินด้วยทรูมันนี่วอลเล็ต ได้แก่ McDonald’s, Paul, Jeffer, A&W, Kanimoji, 7- Eleven, TrueCoffee, Chounan, SE-ED, Mezzo, Caffe Muan Chon, Jungle Cafe, Arabitia, CP Freshmart *บางสาขา, Makro *เฉพาะสาขาใน กรุงเทพ, FriedDays, PAPA’s burger, Go Han Go, The Sense Food Place, Sitnature, The Sense Food Complex, เป็ดโปรด, มังกรหลวง, จอมยุทธ์, ปรุงสุข
“เราเชื่อว่าการขยายบริการมายังธุรกิจกลุ่มอาหารจะช่วยทำให้ลูกค้าได้เรียนรู้พฤติกรรม Cashless Society ได้เร็วขึ้น ด้วยการที่ผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคยและใช้บริการเป็นประจำในทุกๆ วัน ต่อไปคนไทยถึงแม้วันไหนใครลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนออฟฟิศหรือที่บ้านก็สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติด้วยโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียว” คุณธีรวัฒน์ ติลกสกุลชัย ประธานคณะผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท แอสเซนด์ กรุ๊ป จำกัด กล่าว
Cr.บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด