ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (15 ก.พ.65 ) เห็นชอบมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลในอัตรา 3 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันเก็บที่ราคา 5.99 บาทต่อลิตร โดยมีผล 3 เดือน นับแต่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยการพิจารณาเรื่องนี้ ครม.พิจารณาเป็นวาระลับ และเห็นชอบให้ดำเนินการเพื่อลดภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ขณะเดียวกันยังเห็นชอบมาตรการ สนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งจะส่งเสริมการใช้อีวี 3 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์และรถกระบะ โดยจะมีผลบังคับใช้เดือน พ.ค.นี้ และเมื่อผ่าน ครม.แล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะไปออกกฎหมายและทำสัญญากับค่ายรถที่เข้าร่วม
สำหรับมาตรการดังกล่าวแบ่งเป็น2 ช่วง ได้แก่ปี 2565-2568ส่งเสริมให้เกิดการใช้รถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้า 3 กลุ่ม คือ
1.เงินอุดหนุนรถยนต์และรถกระบะคันละ70,000-150,000 บาทต่อคัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน
2.ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0%
3.ลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศและนำเข้าทั้งคัน (CBU) สูงสุด 40% สำหรับรถยนต์ถึงปี 2566
4.ยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศ (CKD) จำนวน 9 รายการ
ทั้งนี้ค่ายรถที่เข้าร่วมต้องรับเงื่อนไข ได้แก่ 1.ผลิตชดเชยให้เท่ากับจำนวนที่นำเข้า CBU ช่วงปี 2565-2566 ในปี 2567 แต่ขยายเวลาได้ ถึงปี 2568 จะต้องผลิตในอัตราส่วน 1.5 เท่า (นำเข้า 1 คัน ผลิต 1.5 คัน) ผู้ใช้สิทธิ์จะผลิตBEV รุ่นใดก็ได้เพื่อชดเชย ยกเว้นรถที่มีราคาขายปลีกราคา 2-7 ล้านบาทต้องผลิตรุ่นเดียวกับที่นำเข้ามา
สำหรับมาตรการการสนับสนุนรถยนต์ EV แบ่งเป็นรถ 3 ประเภท ได้แก่ 1.รถยนต์ไฟฟ้าราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท (ผลิตและประกอบในประเทศ) ได้ลดอากรขาเข้าสูงสุด 40% (ปี 2565-2566) ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เป็น 2% (ปี 2565- 2568) เงินอุดหนุน (ปี 2565-2568) 70,000 บาท (ขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 30 กิโลวัตต์ต่อ ชั่วโมง) 150,000 บาท (ขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมงขึ้นไป) และในปี 2567 ต้องผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้าในปี 2565-2566 โดยผลิตรถรุ่นใดก็ได้
ส่วนรถ EV ที่ราคาขายปลีกแนะนำ 2-7 ล้านบาท ได้ลดอากรขาเข้าสูงสุด 20% (ปี 2565-2566) ลดภาษีสรรพสามิตจาก 8% เป็น 2% (ปี 2565-2568) แต่ต้องเลือกผลิตรถยนต์จากรถรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่ได้นำข้ามาในปี 2565-2566 เท่านั้น