ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาสู่การเป็น Tech Company เพื่อเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม สร้างโอกาสในการเข้าถึงคุณค่าเพื่อสิ่งที่ดีสำหรับทุกคน True จับมือกับ EGG Digital จัดงาน “Lotus’s X hatch by EGG Digital Summit 2022: The Co-Creation Power” เสริมสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนร่วมกับคู่ค้าผ่านพลังแห่งการร่วมสร้างสรรค์
ดร.ธีรเดช ดำรงค์พลาสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) สายงาน AI, Analytics & Communication บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวว่า เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะร่วมกับความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล (AI & Data Analytic Capability) และสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนร่วมกับคู่ค้า จึงร่วมกับบริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด (EGG Digital) บริษัทสัญชาติไทยรายแรกที่ทำธุรกิจด้าน Customer Data และ Media Company ที่มีประสบการณ์เรื่องการทำข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า มาใช้พัฒนาธุรกิจค้าปลีกร่วมกันระหว่างห้างและคู่ค้า โดยมี AI & Data เป็นจุดเชื่อมเพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากข้อมูลที่เกิดจากการจับจ่ายใช้สอยจริง ๆ เพื่อเข้าถึงลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น พร้อมกับยกระดับความสามารถของคนไทย โดยทรูจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโมเดลเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า
–การ์ทเนอร์ เผยผู้บริหาร 80% ชี้ระบบอัตโนมัติสามารถนำมาใช้กับการตัดสินใจเชิงธุรกิจใด ๆ ก็ได้
“เรามีฐานข้อมูลใหญ่มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีโลตัสมาเป็นพาร์ทเนอร์ ทำให้มีข้อมูลลูกค้าจากการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ทำให้รู้อุปนิสัยการจับจ่ายว่าลูกค้าชอบสินค้าอะไร โปรโมชั่นแบบไหน ซึ่งข้อมูลที่มีอยู่นั้นจะเป็นส่วนสำคัญที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาการขายให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยทั้งหมดเป็นไปตามข้อบังคับใน พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะร่วมกันใช้ AI & Data เป็นจุดกลางในการพูดคุยและวางกลยุทธ์ระยะยาวร่วมกัน ทั้งช่องทางการขายแบบออฟไลน์และออนไลน์ การคัดเลือกสินค้ามาขายให้ตรงกับพฤติกรรมจริงของผู้บริโภค และสื่อตามจุดต่าง ๆ ในห้าง ที่สามารถใช้ AI & Data ช่วยหาจังหวะที่เหมาะสมในการสื่อสารตามจุดประสงค์ของแบรนด์ เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างแบรนด์อย่างยั่งยืน”
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ้ก ดิจิทัล จำกัด กล่าวต่อว่า ได้นำประสบการณ์ด้าน Analytics ในระดับโลกมาปรับใช้ เพราะอุปนิสัยของลูกค้าชาวไทยจะต่างจากชาวต่างชาติ ระบบการจับความคล้ายคลึงของกลุ่มลูกค้าจึงต้องปรับให้เข้ากับคนไทยด้วย โดยเน้นที่ 4 เรื่องหลัก ได้แก่ Analytics-as-a-Service (AaaS) การพัฒนาการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งสามารถนำไป Plug and Play กับทุกบริษัทที่ต้องการใช้งาน ขณะที่ Hyper-Personalization จะเป็นส่วนที่เข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะนำไปสู่ Customer Centricity สร้างประสบการณ์ที่ดีเพื่อรักษาลูกค้า และ AI Embedded Everywhere
“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาพบว่ารีเทลเลอร์มีการปรับตัวมากขึ้น พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของการขาย ทั้งส่วนออฟไลน์และออนไลน์ ในส่วนลูกค้าเองก็เปลี่ยนพฤติกรรมไปตั้งแต่เกิดสถานการณ์โควิด 19 กลัวการอยู่กับคนจำนวนมาก หันมาใช้ฟาสต์เดลิเวอรี่แทน และนี่คือโอกาสที่เอ้กฯ จะร่วมกับสินค้าต่าง ๆ เพื่อพัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงใจมากขึ้น ปัจจุบันลูกค้าคนไทยทั้งในส่วนออฟไลน์และออนไลน์มีกว่า 45.6 ล้านราย
โดยพบว่า มีการใช้จ่ายมากกว่าปกติสองเท่าโดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z โดยรับรู้ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย ถัดมาคือกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ Gen X และมิเลเนียม ซึ่งลูกค้ากว่า 70% กังวลเรื่องการอยู่ในพื้นที่แออัด พยายามหาวิธีที่จะทำให้ใช้เวลาในการอยู่ในสถานที่สาธารณะน้อยลง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การขายตรงผ่านออนไลน์ประสบความสำเร็จมาก แต่หลังจากโควิดผ่านไปแล้วค่าส่งจะแพงขึ้นค่าใช้จ่ายของคนขายก็จะเพิ่มตาม ขณะที่แบรนด์ก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วย”
True จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะยกระดับประเทศไทยไปสู่ดิจิทัลทรานฟอร์ม โดยนำความรู้ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้าไปมีส่วนร่วมในหลายกลุ่มธุรกิจ อย่างที่ทำไปแล้วในภาคของการเกษตรมีการนำ IoT (Internet of Things) เข้ามาช่วยทั้งเรื่องโดรน การพัฒนาการเลี้ยงกุ้ง หมู ไก่ เพื่อพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และลดการสูญเสียไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจและช่วยยกระดับชีวิตให้กับผู้ใช้งานอย่างสมาร์ทโฮม ซึ่งสามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันเข้ากับอุปกรณ์ที่ใช้และเครือข่ายที่มี อย่างที่ทำกับพาร์ทเนอร์ซึ่งเป็นบริษัทด้านอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันการส่งมอบบ้านสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่สแกนคิวอาร์โค๊ด เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับเทเลเมดิคอลที่หลายคนมีโอกาสได้ใช้งานแล้วช่วงโควิดที่ผ่านมา ทำให้รู้สึกอยู่ใกล้หมอมากขึ้น และมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องมากขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลที่เอ้กฯ มีอยู่ คาดการณ์ว่า หลังจากเปิดประเทศอย่างเต็มที่แล้ว คนส่วนใหญ่ยังติดกับการอยู่บ้านเหมือนช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องคือสินค้าในกลุ่ม Health and Beauty, Home Care โดยมาจากการการแชร์ไลฟ์สไตล์ที่เน้นการใช้งานจริงมากขึ้น อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ เครื่องปรุงอาหาร กลุ่มลูกค้ายินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มมากขึ้น โดย Omni Channel ที่ผสมผสานช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ จะเติบโตมากขึ้นกว่า 8 เท่า แต่จะต้องตอบโจทย์ลูกค้าในทุกช่องทางการสื่อสารควรเป็นแบบ Multiple Devices คือ ใช้ได้ทั้งในคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท็บเล็ท ถัดมาคือ Personalization ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรูได้เปรียบสามารถสร้างการเติบโตผ่าน Omni Channel เพิ่มได้มากกว่า 3 เท่า ทำให้สร้างยอดขายเพิ่มได้มากขึ้น โดยเชื่อมั่นว่าบริการและโซลูชันของเอ้กฯ จะช่วยยกระดับกิจกรรมทางการตลาด การสื่อสารและเข้าถึงลูกค้ายุคใหม่ ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น
“ความร่วมมือที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะเริ่มพัฒนากับโลตัสผ่านการจับจ่ายของลูกค้าทั่วไปและแอปพลิเคชันของลูกค้าที่เป็นสมาชิก ก่อนจะขยายไปสู่ธุรกิจส่วนอื่น ๆ ในเครือ รวมถึงความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ที่สามารถ Plug and Play ได้ทันที โดยเอ้กฯ เป็นบริษัทของคนไทยที่ดำเนินงานโดยคนไทยอย่างแท้จริง” ดร.ธีรเดช ทิ้งท้าย