นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า กกพ. ในการประชุมครั้งที่ 51/2565 (ครั้งที่ 818) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 มีมติรับทราบภาระต้นทุนค่าเอฟทีประจำรอบ พ.ค. – ส.ค. 2565 และเห็นชอบผลการคำนวณประมาณค่าเอฟทีสำหรับงวดเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 พร้อมให้สำนักงาน กกพ. นำค่าเอฟทีประมาณการและแนวทางการจ่ายภาระต้นทุนคงค้างที่ กฟผ. แบกรับในกรณีต่างๆ ดังนี้
กรณีที่ 1 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 224.98 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงบางส่วน 66.67 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 1 ปี โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 81,505 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.03 บาทต่อหน่วย
กรณีที่ 2 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 191.64 สตางค์ต่อหน่วย แบ่งเป็นเอฟทีขายปลีกประมาณการที่สะท้อนต้นทุนเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย และเงินทยอยเรียกเก็บเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงบางส่วน 33.33 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบภายใน 2 ปี โดย กฟผ. จะต้องบริหารภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 101,881 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.70 บาทต่อหน่วย
กรณีที่ 3 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย โดย กฟผ. จะต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนจำนวน 122,257 ล้านบาท ทำให้ค่าไฟฟ้า (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.37 บาทต่อหน่วย
นายคมกฤช กล่าวว่า การประมาณการค่าไฟฟ้าดังกล่าวเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเรื่อง กระบวนการ และขั้นตอนการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยมีสมมุติฐานและปัจจัยในการพิจารณาค่าเอฟทีในรอบเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 ตามผลการคำนวณของ กฟผ. ปประกอบด้วย
ถ่านหินนำเข้าโรงไฟฟ้าเอกชน ร้อยละ 6.25 พลังน้ำของ กฟผ. ร้อยละ 3.48 น้ำมันเตา (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 0.73 น้ำมันดีเซล (กฟผ. และ IPP) ร้อยละ 6.31 และอื่นๆ อีกร้อยละ 6.75
(3) ราคาเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณค่าเอฟทีเดือน ม.ค. – เม.ย. 2566 เปลี่ยนแปลงจากการประมาณการในเดือน ก.ย.– ธ.ค. 2565 โดยราคาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า และราคาถ่านหินนำเข้าเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมากจากรอบเดือน ก.ย. – ธ.ค. 2565 โดยที่เชื้อเพลิงอื่นๆ มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยและคงที่ ดังที่แสดงในตาราง
สำนักงาน กกพ. จึงขอเรียกร้องให้มีการมีการบริหารการใช้ไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางเศรษฐกิจ ลดการนำเข้า LNG หรือลดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันเพื่อให้สามารถบริหารและสามารถควบคุมต้นทุนราคาเชื้อเพลิงซึ่งจะทำให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตราคาพลังงานและฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
นายคมกฤช ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า กกพ ในการประชุมครั้งที่ 51/2565 (ครั้งที่ 818) เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2565 ได้พิจารณาทบทวนอัตราค่าบริการรายเดือนที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในระหว่างวันที่ 3 – 17 ต.ค. 2565 แล้ว เห็นชอบให้มีการปรับอัตราค่าบริการรายเดือนลดลงสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า 3 ประเภท ดังนี้
ประเภทบ้านอยู่อาศัย แรงดันต่ำ อัตรา TOU 38.22 บาท/เดือน24.62 บาท/เดือน
(2) กิจการขนาดเล็ก แรงดันต่ำ 46.16 บาท/เดือน33.29 บาท/เดือน
(3) กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร อัตรา TOU228.17 บาท/เดือน204.07 บาท/เดือน
ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. จะเร่งดำเนินการประสานการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเพื่อให้การปรับลดอัตราค่าบริการรายเดือนให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2566 เป็นต้นไป เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตพลังงานให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและประเภทกิจการขนาดเล็กอีกทางหนึ่งด้วย นายคมกฤช กล่าว