พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การที่คณะมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป (อียู) มีมติฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการเมืองกับประเทศไทยในทุกระดับ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับไทย เพราะเป็นสิ่งที่รัฐบาลได้พยายามทำมาโดยตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอียูเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการเดินหน้าประเทศ และได้แก้ไขปัญหาเหตุติดขัดมากมาย
“ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ย. 2561 และยืนยันว่าจะไม่ฝืนโรดแมป เมื่อกฎหมายลูกเสร็จเมื่อไร ก็สามารถประกาศวันเลือกตั้งได้ตามโรดแมป จะเลื่อนเข้าหรือเลื่อนออก ก็ยังเป็นไปตามเวลา” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า จากนี้ไปคงเห็นการติดต่อกันมากขึ้นระหว่างอียูกับไทย การผ่อนคลายของอียูจะมีผลด้านจิตใจ นักลงทุน รวมถึงการเจรจาต่างๆ เช่น การเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศศึกษาความเป็นไปได้ในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ ด้านการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะเอฟทีเอ ระหว่างไทยและอียูขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หลังจากหยุดชะงักไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา
สำหรับการรื้อฟื้นเอฟทีเอไทย-อียู จะถือเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายไทยแลนด์ เทกออฟ ที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประกาศในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ ว่า ในปี 2561 ประเทศไทยจะดำเนินการไปสู่การเป็นไทยแลนด์ เทกออฟ โดยได้มอบหมายให้ทุกหน่วยงานและกระทรวงร่วมมือกันในการผลักดันนโยบายให้สำเร็จ สำหรับกระทรวงพาณิชย์ จะมีโครงการขับเคลื่อนทั้งด้านการส่งออก การลดค่าครองชีพ การผลักดันเศรษฐกิจฐานราก
“ขณะนี้มีสัญญาณที่ดีขององค์กรชั้นนำระหว่างประเทศที่เข้ามาจัดอันดับไทยให้อยู่ในสถานะที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ไขปัญหาการบินที่ไอเคโอปลดธงแดงให้กับไทย การแก้ไขปัญหาประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) ที่มีทิศทางดีขึ้น รวมทั้งการที่ธนาคารโลกจัดสถานะการทำธุรกิจของไทยในอันดับที่ดี และล่าสุดกับการที่อียูฟื้นความสัมพันธ์ของไทย ถือเป็นข่าวดีที่จะทำให้ไทยก้าวไปสู่การเป็นไทยแลนด์ เทกออฟ ในปีหน้า” นายสนธิรัตน์ กล่าว
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า การฟื้นสัมพันธ์ทางการเมืองครั้งนี้ จะส่งผลต่อให้บริษัทประกันภัยทำประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยวยุโรป ทั้งกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) และกลุ่มทัวร์ที่เดินทางมาไทยได้รับการทำประกันอย่างถูกต้อง รวมถึงรัฐบาลประเทศต่างๆ ในกลุ่ม อียูจะสนับสนุนส่งเสริมให้การเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยเป็นไปด้วยความสะดวกมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันอียูเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 และนักลงทุนอันดับ 2 ของไทย ในปี 2559 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 40,133 ล้านดอลลาร์สหรัฐ