เจาะ 8 ทักษะ พนักงานบริษัทต้องมี ในปี 2025 หากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เจาะ 8 ทักษะ พนักงานบริษัทต้องมี ในปี 2025 หากไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ในปี 2025 โลกของการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยี การแข่งขันที่สูงขึ้น และความคาดหวังของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น พนักงานบริษัทจึงจำเป็นต้องมีทักษะใหม่ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ 8 ทักษะ นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้องค์กรเติบโตและปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้อย่างยั่งยืน

1. ทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา (Analytical and problem-solving skills)

  • ความสำคัญ: ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การคิดวิเคราะห์ช่วยแยกแยะข้อมูลสำคัญ ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ และนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การพัฒนา หรือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
  • วิธีฝึกฝน:
    • ฝึกตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น ทำไม? อย่างไร?
    • ฝึกวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น รายงาน บทความ สถิติ
    • ฝึกแก้ปัญหาโดยใช้ กรอบแนวคิดการแก้ปัญหา เช่น Define, Analyze, Find solutions, Implement, Evaluate
    • เล่นเกมฝึกสมอง เช่น Sudoku, Crossword, เกมหาทางออก
    • ฝึกการคิดเชิงวิพากษ์ เช่น การถกเถียง การวิเคราะห์ข้อโต้แย้ง

2. ทักษะการเรียนรู้ (Learning agility)

  • ความสำคัญ: โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เทคโนโลยี วิธีการทำงาน และความต้องการของลูกค้าก็เช่นกัน การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้เร็ว ปรับตัว และนำความรู้มาใช้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดในโลกการทำงาน
  • วิธีฝึกฝน:
    • เปิดรับสิ่งใหม่ๆ และเรียนรู้อยู่เสมอ เช่น อ่านหนังสือ เข้าอบรม ฟัง Podcast
    • ตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ เช่น เรียนรู้ภาษาใหม่ เรียนรู้โปรแกรมใหม่
    • ฝึกทักษะการเรียนรู้ เช่น การจดบันทึก การสรุป การเชื่อมโยงความรู้
    • เรียนรู้จากประสบการณ์ ทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว
    • ขอ Feedback และนำมาปรับปรุงตนเอง

3. ทักษะความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation)

  • ความสำคัญ: การแข่งขันสูงขึ้น องค์กรต้องการไอเดียใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และวิธีการทำงานแบบใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง และตอบสนองความต้องการของลูกค้า
  • วิธีฝึกฝน:
    • ฝึกคิดนอกกรอบ มองหา Perspective ใหม่ๆ
    • ระดมสมอง (Brainstorming) กับเพื่อนร่วมงาน
    • ศึกษา Case Study ของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
    • เข้าร่วม Workshop หรือกิจกรรมที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
    • ทดลอง ลองผิดลองถูก อย่ากลัวความล้มเหลว

4. ทักษะการสื่อสาร (Communication skills)

  • ความสำคัญ: การสื่อสารที่ดี ช่วยลดความเข้าใจผิด สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือผู้บริหาร
  • วิธีฝึกฝน:
    • ฝึกพูด ฝึกเขียน ฝึกนำเสนอ ให้ชัดเจน กระชับ ตรงประเด็น
    • ฝึกฟังอย่างตั้งใจ และ Active Listening
    • ฝึกการใช้ภาษา ทั้ง Verbal และ Non-verbal
    • ฝึกการสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ เช่น การเจรจาต่อรอง การโน้มน้าวใจ
    • สังเกต เรียนรู้ จากคนที่สื่อสารเก่ง

5. ทักษะความฉลาดทางดิจิทัล (Digital literacy)

  • ความสำคัญ: เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตการทำงานมากขึ้น การใช้เครื่องมือ และแพลตฟอร์มต่างๆ เป็น จึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่น การใช้ Social Media เพื่อการตลาด การใช้ Cloud เพื่อจัดเก็บข้อมูล
  • วิธีฝึกฝน:
    • เรียนรู้ Software ที่จำเป็นต่อการทำงาน เช่น Microsoft Office, Google Workspace
    • ศึกษา Tools และ Platform ใหม่ๆ อยู่เสมอ
    • เข้าร่วม Online Course เกี่ยวกับ Digital Marketing, Data Analytics
    • ติดตามข่าวสาร และ Trend ด้านเทคโนโลยี
    • ฝึกใช้ Social Media อย่างมืออาชีพ

6. ทักษะการทำงานเป็นทีม (Teamwork skills)

  • ความสำคัญ: งานส่วนใหญ่ต้องอาศัยการทำงานเป็นทีม การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ช่วยให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันได้เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • วิธีฝึกฝน:
    • มีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่ม เช่น กีฬา ชมรม
    • ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ดี และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
    • แบ่งปันความรู้ และช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน
    • ฝึกการแก้ไขปัญหา และจัดการความขัดแย้งในทีม
    • เรียนรู้ Leadership และ Followership

7. ทักษะความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Flexibility and adaptability)

  • ความสำคัญ: การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ เทคโนโลยี หรือ วิกฤตต่างๆ การปรับตัว และรับมือกับความไม่แน่นอนได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
  • วิธีฝึกฝน:
    • เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง
    • มองหาโอกาสในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเอง
    • ฝึกการจัดการความเครียด และ Emotion
    • เรียนรู้จากประสบการณ์ และ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
    • มองโลกในแง่ดี และ คิดบวก

8. ทักษะภาวะผู้นำ (Leadership skills)

  • ความสำคัญ: ผู้นำที่ดี สร้างแรงบันดาลใจ จูงใจ และนำทีมให้บรรลุเป้าหมาย ไม่จำเป็นต้องเป็น Manager ทุกคนสามารถเป็นผู้นำได้ในบทบาทของตัวเอง
  • วิธีฝึกฝน:
    • ศึกษา Leadership Style ต่างๆ และ Case Study ของผู้นำที่ประสบความสำเร็จ
    • ฝึกการสื่อสาร การโน้มน้าวใจ และการสร้างความสัมพันธ์
    • รับผิดชอบต่อหน้าที่ และ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
    • พัฒนา Emotional Intelligence และ Social Intelligence
    • เป็นแบบอย่างที่ดี และ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น

แม้ว่าบางคนอาจจะมีทักษะบางด้านที่โดดเด่นอยู่แล้ว แต่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกคนจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อความต้องการของตลาด และ เทคโนโลยี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น และ มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: ช่วยให้องค์กร โดดเด่นกว่าคู่แข่ง และ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น สร้าง Growth Mindset: ส่งเสริมให้พนักงาน มี Mindset ในการเรียนรู้ และ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ลดความเสี่ยง: ช่วยให้องค์กร รับมือกับการเปลี่ยนแปลง และ ความท้าทายต่างๆ ได้ดีขึ้น สร้าง Engagement: พนักงานที่รู้สึกว่า องค์กร สนับสนุนการพัฒนาตนเอง จะมี Engagement กับองค์กรมากขึ้น

ผลกระทบ 4 ด้าน หากไม่ฝึกฝนทักษะ

หากองค์กรไม่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝน 8 ทักษะ ที่จำเป็นในปี 2025 ให้กับพนักงาน อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อองค์กรในระยะยาว ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ด้านหลักๆ ดังนี้

1. ด้านประสิทธิภาพและผลผลิต (Performance and Productivity)

  • ทำงานช้า ใช้เวลานาน: พนักงานขาดทักษะในการใช้เครื่องมือ หรือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้ทำงานได้ช้า และ ใช้เวลามากขึ้น
  • คุณภาพงานต่ำ เกิดข้อผิดพลาด: การขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ และ แก้ปัญหา ทำให้เกิดข้อผิดพลาดในการทำงาน ส่งผลต่อคุณภาพงาน และ ภาพลักษณ์ขององค์กร
  • ตัดสินใจผิดพลาด: การขาดทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล และ การประเมินสถานการณ์ ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด ส่งผลเสียต่อธุรกิจ
  • ไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง: องค์กร และ พนักงาน ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับ เทคโนโลยี หรือ วิธีการทำงานแบบใหม่ๆ ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ

2. ด้านบุคลากรและวัฒนธรรมองค์กร (People and Culture)

  • พนักงานขาดแรงจูงใจ: พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตนเอง ทำให้ขาดแรงจูงใจ และ Engagement ในการทำงาน
  • อัตราการลาออกสูง: พนักงาน มองหาโอกาส และ ความก้าวหน้าในองค์กรอื่น ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนา ทำให้เกิดการลาออก และ สูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพ
  • ความขัดแย้งในทีม: การขาดทักษะการทำงานเป็นทีม และ การสื่อสาร ทำให้เกิดความขัดแย้ง และ บั่นทอนประสิทธิภาพการทำงาน
  • วัฒนธรรมองค์กรล้าหลัง: องค์กรไม่สามารถดึงดูด และ รักษา Talent รุ่นใหม่ ที่ มี ทักษะ และ ความสามารถ ทำให้วัฒนธรรมองค์กรล้าหลัง

3. ด้านการแข่งขัน (Competitiveness)

  • เสียเปรียบคู่แข่ง: องค์กรไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่ง ที่ มี นวัตกรรม และ เทคโนโลยี ที่ทันสมัยกว่า
  • สูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด: ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ เปลี่ยนแปลงไป ทำให้สูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด
  • ภาพลักษณ์องค์กรเสียหาย: องค์กร ดู ล้าสมัย ไม่ Professional ส่งผลต่อภาพลักษณ์ และ ความน่าเชื่อถือ
  • พลาดโอกาสทางธุรกิจ: ไม่สามารถคว้าโอกาส จาก เทรนด์ หรือ เทคโนโลยีใหม่ๆ

4. ด้านการเติบโต (Growth)

  • องค์กรหยุดนิ่ง: ไม่สามารถพัฒนา และ เติบโต เนื่องจาก พนักงาน และ องค์กร ไม่สามารถปรับตัว และ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
  • ขาดนวัตกรรม: ไม่สามารถสร้าง Product หรือ Service ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
  • ธุรกิจไม่ยั่งยืน: ไม่สามารถปรับตัว และ รับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทำให้ธุรกิจไม่ยั่งยืนในระยะยาว

Generative AI ปฏิวัติการทำงาน สร้างโอกาส หรือ ฆ่าอาชีพ

Scroll to Top