มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) เผย 2 เทรนด์สำคัญ Digital Supply Chain และ Sustainable Technology พลิกโฉมวงการโลจิสติกส์ไทย ชูการผนึกกำลังเทคโนโลยี AI และ IoT ยกระดับประสิทธิภาพ ลดต้นทุน สร้างความยั่งยืน พร้อมเปิดหลักสูตรระยะสั้น Intelligent Supply Chain and Data Analytics เสริมทัพบุคลากรรองรับอุตสาหกรรม New S-Curve
วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) เปิดเผยถึงแนวโน้มสำคัญของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในปี 2025 โดยชี้ Digital Supply Chain คือกุญแจสำคัญในการพลิกโฉมธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI มาประยุกต์ใช้ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการโซ่อุปทาน ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ผศ.ดร.ธรินี มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน SPU กล่าวว่า “ปัจจุบัน ประเทศไทยมีศักยภาพด้านโลจิสติกส์อยู่ในอันดับที่ 34 ของโลก และอันดับ 3 ของอาเซียน รัฐบาลมีเป้าหมายผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 25 ภายในปี 2027 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งมีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านบาท การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ใน Digital Supply Chain จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อยกระดับขีดความสามารถของภาคธุรกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน”
Sustainable Technology คืออีกหนึ่งเทรนด์สำคัญ ที่สอดรับกับกระแสความยั่งยืน โดย Sustainable Supply Chain มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการใช้เทคโนโลยี เช่น AI ในการวางแผนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง ลดการใช้พลังงาน และ IoT ในการติดตามสินค้า ควบคุมคุณภาพ ลดการสูญเสีย
“เทคโนโลยีดิจิทัล ไม่เพียงช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความโปร่งใส และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจโลก” ผศ.ดร.ธรินี กล่าวเสริม
วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน SPU มุ่งมั่นพัฒนาหลักสูตรให้ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักสูตร Digital Supply Chain & AI ที่มุ่งเน้นการสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับอุตสาหกรรม New S-Curve เช่น อุตสาหกรรมเกษตรมูลค่าสูง อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์
“หลักสูตร Digital Supply Chain & AI เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทย สู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนา Cold Chain เพื่อรักษาคุณภาพสินค้า ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลก” ผศ.ดร.ธรินี อธิบาย
ล่าสุด วิทยาลัยฯ เตรียมเปิดตัวหลักสูตรระยะสั้น “Intelligent Supply Chain and Data Analytics” ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรชั้นนำ เช่น สมาพันธ์โลจิสติกส์ไทย (ThaiLog) สมาคมขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ไทย (TTLA) และสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) โดยเน้นองค์ความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล AI และความยั่งยืน
หลักสูตรนี้ ประกอบด้วยรายวิชาที่น่าสนใจ เช่น การจัดการโซ่อุปทานดิจิทัล (Digital Supply Chain Management) ระบบอัตโนมัติโซ่อุปทานแบบลีน (Lean Supply Chain Automation) การวิเคราะห์ข้อมูลโซ่อุปทาน (Supply Chain Data Analytics) การจำลองสถานการณ์ในโซ่อุปทานเพื่อการตัดสินใจ (Supply Chain Simulation for Decision Making) และการจัดการโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply Chain Management)
“จุดเด่นของหลักสูตร คือ การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ด้วยการลงมือปฏิบัติกับสถานประกอบการในเครือข่ายพันธมิตร ผู้เรียนจะได้พัฒนาทักษะ Up-skill และ Re-skill เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล และเพิ่มโอกาสในการทำงานในอนาคต” ผศ.ดร.ธรินี กล่าว
ผศ.ดร.ธรินี ทิ้งท้ายว่า “การลดต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งคิดเป็น 13-15% ของ GDP เป็นสิ่งสำคัญ การลดต้นทุนเพียง 1% สามารถประหยัดเศรษฐกิจได้กว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี หลักสูตรนี้ จะช่วยสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งเอเชียอย่างยั่งยืน”
#SPU #โลจิสติกส์ #DigitalSupplyChain #AI #SustainableTechnology #IntelligentSupplyChain #DataAnalytics #เศรษฐกิจดิจิทัล #UpSkill #ReSkill #โลจิสติกส์ไทย #ศูนย์กลางโลจิสติกส์เอเชีย
–Google Cloud เปิดตัว Agentspace ปฏิวัติการทำงานด้วย AI Agent สู่ยุคองค์กรอัจฉริยะ