เสียงเรียกร้องจากผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐและเอกชน ชี้ “นวัตกรรมเกษตรอัจฉริยะ” คือ กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของเกษตรกรไทย พลิกโฉมภาคการเกษตรสู่ความยั่งยืน และนำพาประเทศสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเกษตรระดับโลก ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด
แม้ภาคการเกษตรจะเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจไทย จ้างงานกว่า 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งหมด แต่กลับสร้างรายได้เพียง 8% ของ GDP ผู้เชี่ยวชาญระบุ การเข้าถึงเทคโนโลยีที่จำกัด ความรู้ด้านเกษตรยั่งยืนที่ยังไม่เพียงพอ และต้นทุนเริ่มต้นที่สูง เป็นอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งศักยภาพ
สถานการณ์ยิ่งน่าเป็นห่วง เมื่อภัยธรรมชาติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น อุทกภัย ซ้ำเติมปัญหาผลผลิตตกต่ำ ราคาสินค้าเกษตรผันผวน บวกกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน มาเลเซีย และเวียดนาม ที่รุกคืบตลาดข้าวและทุเรียน ส่งผลให้เกษตรกรไทยยิ่งเสียเปรียบ
“นวัตกรรม” ตัวช่วยสำคัญ NIA ผลักดัน Agritech สตาร์ทอัพ
มณฑา ไก่หิรัญ ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กล่าวว่า NIA มุ่งสนับสนุนเงินทุน จุดประกายนวัตกรรม และผลักดันให้เกิดสตาร์ทอัพด้าน Agritech เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพิ่มผลผลิต สร้างมูลค่า และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน
“อาชีพเกษตรกรรมเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของ NIA เพราะเราต้องการให้เกษตรกรกินดีอยู่ดี มีรายได้ที่มั่นคง ผ่านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม” มณฑา กล่าว
NIA เดินหน้าสนับสนุนสตาร์ทอัพ ด้วยหลักสูตรออนไลน์ โปรแกรม Incubation และ Acceleration พร้อมเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ เพื่อขยายผลสู่ภาคการเกษตรอย่างกว้างขวาง
ปฏิวัติเกษตรไทย 5 ด้านสู่ความยั่งยืน
คุณมณฑา ชี้ การปฏิวัติภาคการเกษตร ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลง 5 ด้านหลัก ได้แก่
- ด้านเทคโนโลยี: เปลี่ยนจากระบบเกษตรที่ใช้แรงงานคน เป็นระบบอัตโนมัติ
- ด้านเศรษฐกิจ: ลดการพึ่งพาพ่อค้าคนกลาง สร้างรายได้โดยตรงให้เกษตรกร
- ด้านตลาด: เปิดตลาดเสรี ลดการควบคุมจากพ่อค้าคนกลาง
- ด้านสิ่งแวดล้อม: ลดขยะ มุ่งสู่เกษตรแบบ “Zero Waste”
- ด้านผู้นำ: ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเกษตรในอาเซียน
“เคมีกรีน” ตอบโจทย์เกษตรยั่งยืน รับมือประชากรโลกพุ่ง
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภวรรณ ตันตยานนท์ จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เน้นย้ำถึงบทบาทของ “เคมี” ต่อการพัฒนาภาคการเกษตร โดยเฉพาะ “เคมีกรีน” ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้สารเคมีอันตราย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อรองรับประชากรโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 ล้านคนในปี 2050
“การใช้สารเคมีเกษตรที่ยั่งยืน จะช่วยให้เกษตรกรไทยปรับตัวสู่การปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการพึ่งพาสารเคมีอันตราย ผู้บริโภคก็จะได้รับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ส่งผลดีต่อสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนให้ภาคการเกษตร” ดร.ศุภวรรณ กล่าว
“เมล็ดพันธุ์ที่ดี” + “เคมีกรีน” = เกษตรกรไทยแข็งแกร่ง
รัฐบาลไทยได้กำหนดให้นวัตกรรมเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาภาคการเกษตร มุ่งใช้เทคโนโลยีและข้อมูล เพื่อยกระดับการวางแผนการเกษตร เพิ่มผลผลิต และสร้างความมั่นคงทางอาหาร เช่น โครงการพัฒนาเกษตรกรอัจฉริยะ ที่ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ผ่านการใช้ปุ๋ยชีวภาพ
สมศักดิ์ สมานวงศ์ นายกสมาคมอารักขาพืชแห่งประเทศไทย (TCPA) มองว่า เกษตรกรไทยกำลังเผชิญกับความยากลำบากจากสภาพอากาศแปรปรวน ภัยแล้ง น้ำท่วม และการระบาดของศัตรูพืช ส่งผลกระทบต่อผลผลิต โดยเฉพาะข้าวและอ้อย กระทบต่อการส่งออกของประเทศ
นายสมศักดิ์ เสนอทางออก ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยเหลือเกษตรกร ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร ควบคู่กับการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ที่ทนทานต่อสภาพอากาศ และการใช้ “เคมีกรีน” เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
“การนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างรวดเร็ว จะช่วยผลักดันให้ไทยกลับมาเป็นผู้นำด้านการเกษตรได้อีกครั้ง” สมศักดิ์ กล่าว
สตาร์ทอัพ 80 ราย เม็ดเงินลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท อนาคตเกษตรไทยสดใส
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสตาร์ทอัพด้านเกษตรกรรมกว่า 80 ราย คิดเป็นมูลค่าการลงทุนมากกว่า 1.7 ล้านล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลในการพัฒนาภาคการเกษตร
ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ก้าวสำคัญสู่ผู้นำนวัตกรรมเกษตรโลก
ผู้เชี่ยวชาญทุกท่าน เห็นพ้องต้องกันว่า ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และเกษตรกร เป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเกษตรที่ยั่งยืนในระดับโลก
#เกษตรอัจฉริยะ #นวัตกรรมเกษตร #เทคโนโลยีเกษตร #Agritech #สตาร์ทอัพ #เกษตรยั่งยืน #เคมีกรีน #NIA #เศรษฐกิจไทย #เกษตรกรไทย
–ถอดรหัสเทรนด์การตลาดดิจิทัลปี 2024 บน LINE: ปลดล็อกศักยภาพธุรกิจไทย