ในยุคดิจิทัล คงไม่มีใครปฏิเสธว่า Big Data คือขุมทรัพย์ที่มีค่าสำหรับธุรกิจ การใช้ข้อมูลอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง และนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุด ส่งผลให้ธุรกิจสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ เข้าหาได้มากขึ้น ทีม The 1 Data & Insight คือ ทีมนักวิเคราะห์ข้อมูลของ The 1 ที่ได้รวบรวมข้อมูลพฤติกรรมการซื้อของลูกค้ากว่า 20 ล้านราย จากจุดบริการกว่า 32,000 จุด ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์แต่ละคนได้อย่างเฉพาะเจาะจง ตรงใจ ในแบบ Real Time
แต่กว่าจะมาเป็น The 1 ในวันนี้ องค์กรต้องปรับกลยุทธ์มากมายทั้งภายในและภายนอก ในบทความนี้จะพามารู้จักกับทีม The 1 ที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปยังขุมทรัพย์ของอาณาจักรลอยัลตี้แห่งนี้ ในขณะเดียวกันก็ Transform ทั้งภายในองค์กรตัวเองและเครือเซ็นทรัลทั้งหมดสู่การเป็นธุรกิจดิจิทัล ที่ขับเคลื่อนด้วย Data และ AI (Artificial Intelligence) ไปพร้อมๆ กัน
ธีรพล ไทยหิรัญ – Head of Data and Insight เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ The 1 ว่า เราเริ่มต้นไอเดียตั้งแต่ 2548 ในวันที่ยังไม่มีใครคิดว่า Data จะสำคัญกับธุรกิจมาก ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารในกลุ่มเซ็นทรัลที่อยากเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าของเราให้มากขึ้น เราจึงเริ่มพัฒนาระบบก่อนจะเปิดให้บริการในปี 2549 ในยุคแรกเราเป็น Loyalty Program คือ ลูกค้าซื้อสินค้าแล้วได้คะแนน และนำคะแนนกลับมาแลกของต่างๆ จนถึงวันนี้ถือว่าเราเดินทางมาไกลมาก The 1 พัฒนามาเป็น Digital Lifestyle & Loyalty Platform ที่มีความหลากหลาย เพราะไม่เพียงนำคะแนนสะสมมาแลก Reward ต่างๆ ได้ ยังมีคอนเทนต์ เกม และสิทธิพิเศษอีกมากมาย ขณะที่การทำงานระบบหลังบ้านนั้นอยู่บน Cloud ทั้งหมด 100%
เมื่อมีข้อมูลลูกค้ามากขึ้น เข้าใจลูกค้ามากขึ้น ก็สามารถนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ลูกค้าประทับใจได้มากขึ้น
ธีรพล ไทยหิรัญ – Head of Data and Insight
ธีรพล เล่าว่า หลักการใช้ Data เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าประทับใจมีอยู่ 2 แบบคือ การทำ “Segmentation” และ “Hyper-personalization”โดยเริ่มจากการทำ “Segmentation” คือ ทำความรู้จัก และเข้าใจลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพราะลูกค้าแต่ละคนย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกัน ย่อมอยากได้สินค้าและบริการ รวมถึงสิทธิพิเศษแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น บางคนอยากได้ที่จอดรถ แต่ลูกค้าบางกลุ่มอาจจะอยากได้แค่ดีลเพื่อแลกตั๋วหนัง จากนั้นจึงทำ “Hyper-personalization” โดยมอบข้อเสนอ ดีลและสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ตรงใจ และทันต่อความต้องการของลูกค้า
ด้าน ศุภวัชร พูนจิระเดชมา – Data Science Specialist เสริมว่า เราค่อนข้างพิถีพิถันกับการเลือกกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงอายุมาศึกษาพฤติกรรม ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพราะหากเราเข้าใจ รู้ลึก และรู้จริง เราจะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าตรงนี้โดยการเสนอสิทธิพิเศษที่แตกต่างกันออกไป
ขณะที่ จามร ฉัตรเสถียรพงศ์ – Head of Data Analytics ฉายภาพเพิ่มเติมว่า ยกตัวอย่างแคมเปญสินค้าความสวยความงาม “Beauty Product” ลูกค้าแต่ละคนก็จะมีแบรนด์ที่ชอบแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้นการที่ลูกค้าเปิดอีเมลขึ้นมา ลูกค้าแต่ละคนก็มีโอกาสจะเห็นลิสต์ของสินค้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น ลูกค้ากลุ่มอายุ 50 ขึ้นไป มีโอกาสเห็นสินค้าที่เป็นครีมบำรุงเพื่อผิวที่อ่อนเยาว์ลง ซึ่งการแสดงผลรูปแบบนี้มีแนวโน้มว่าจะดึงความสนใจลูกค้ามากกว่าการให้แค่ส่วนลดธรรมดา
ชณิดา ดีโรจนเดช Data Science Principal เสริมอีกว่า ลูกค้าที่เข้ามาใช้งานครั้งแรกอาจจะคิดว่าการนำเสนอโปรโมชั่นต่างๆ เป็นสินค้าทั่วไป ยังไม่ตอบโจทย์ แต่หลังจากที่เข้ามาใช้งาน มีการซื้อสินค้า หรือ การแลกคะแนนเพื่อรับ Reward ครั้งต่อไปที่เข้าแอปฯ ก็จะเห็นว่าสินค้าและบริการที่ขึ้นมาในหน้าแรกเริ่มตอบโจทย์มากขึ้นเรื่อยๆ
“นอกจากความแข็งแกร่งในกลุ่มเซ็นทรัล และเซ็นทรัลรีเทลอยู่แล้ว เรายังมีแผนจะขยาย Ecosystem โดยร่วมมือกับเซ็นทรัลพัฒนา ด้วยความมุ่งมั่นที่จะขยายสิทธิพิเศษของสมาชิกให้ครอบคลุมไปยังร้านค้าในศูนย์การค้าให้มากที่สุด เพื่อให้สมาชิก The 1 ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถ Enjoy กับสิทธิพิเศษของตนได้ทุกที่ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ โดยสามประเภทที่มีลูกค้าไปสะสมและแลกคะแนนมากที่สุดคือ ประเภทแฟชั่น เช่น adidas, Converse, Kloset, Marimekko ประเภท IT หรือ Gadget เช่น iStudio, dotlife, Advice, Jaymart, TG และประเภทร้านอาหาร เช่น Starbucks, คำพูน, Nara Thai Cuisine, ฮั่วเซ่งฮง, Häagen-Dazs ในขณะเดียวกัน ได้ขยายความร่วมมือกับเซ็นทรัลรีเทล ทั้งแบรนด์และร้านค้าในเครือ รวมถึงการขยายไปยังผู้ค้าปลีกและค้าส่ง ร่วมกับ GO Wholesale ด้วย” ธีรพล กล่าว
แน่นอนว่าการทำงานเพื่อสร้างความพึงพอใจกับลูกค้าทุกคนนั้นไม่ง่าย เพราะ The 1 เป็น Loyalty Platform ที่ไม่เพียงแค่มีดีลที่หลากหลาย แต่ยังมีสิทธิพิเศษอีกมากมายร่วมกับแบรนด์ ร้านอาหาร บริการ ไปจนถึงโรงแรม ซึ่งลูกค้าแต่ละคนก็จะมีไลฟ์สไตล์และความต้องการที่ซับซ้อนและแตกต่างกันออกไป สินค้าบางอย่างอาจจะต้องซื้อทุกสัปดาห์ แต่บางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อยๆ หรือบางอย่างอาจมีความต้องการแค่ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น
จามร ฉัตรเสถียรพงศ์ – Head of Data Analytics
จามร เล่าว่า ความท้าทายของทีม คือ ทำอย่างไรจะรู้เท่าทันความต้องการ เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อจะแนะนำสิทธิพิเศษให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงใจอย่างไร ทุกวันนี้การทำ Personalization ทีมยังต้องทดสอบและเรียนรู้ (Test and Learn) เพราะความต้องการมีความซับซ้อนมากขึ้น และเปลี่ยนไปตลอดเวลา ขณะเดียวกันต้องคอยติดตามว่าสิ่งที่นำเสนอออกไปได้ตรงมีลูกค้ากี่คนที่เห็นบ้าง ลูกค้าคลิกเข้าไปเพื่อดูรายละเอียดต่อจริงหรือไม่
ศุภวัชร เสริมว่า ทุกอย่างมันเป็น Learning Process ที่ผ่านมาเราทำ Test and Learn ว่า Personalized อย่างไรให้ได้ผลตอบรับกลับมาดี เราทำเป็น A/B Testing อยู่เสมอ เช่น การทดลองการนำเสนอว่าคนที่มีไลฟ์สไตล์เหมือนกันชอบซื้ออะไร ชอบแบรนด์ไหน และลองส่งคอนเทนต์ไปหาลูกค้าที่มีพฤติกรรมเหมือนกัน เพื่อศึกษาดูว่าลูกค้าจะชอบเหมือนกันหรือไม่
“เราต้องทำงานกับทั้งทีม UX คอนเทนต์ การตลาด เพื่อทำการทดสอบว่าการสื่อสารในรูปแบบการแนะนำสินค้าใหม่ หรือ แนะนำสินค้า Best Seller แบบไหนคนสนใจมากกว่ากัน ซึ่งเมื่อเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่าได้ผลที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็หมายความว่าเราเข้าใจ และเข้าถึงสิ่งที่ลูกค้าสมาชิกต้องการที่แท้จริงมากขึ้นนั่นเอง” จามร กล่าวเสริม
ชณิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ความท้าทายที่สำคัญอย่างหนึ่งของ The 1 คือ “การตอบสนองความคาดหวังของลูกค้าที่สูงขึ้น” ความคาดหวังของลูกค้าในปัจจุบันมีสูงขึ้นกว่าในยุคก่อน เนื่องจากลูกค้ามีช่องทางในการเปรียบเทียบสินค้าและบริการมากขึ้น และมีข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ลูกค้าจึงคาดหวังที่จะได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว และตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการนำเสนอโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า The 1 จำเป็นต้องใช้ข้อมูลของลูกค้าเพื่อวิเคราะห์และนำเสนอโปรโมชั่นที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน รวมถึงการระบุตำแหน่งของลูกค้า The 1 จำเป็นต้องระบุตำแหน่งของลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ แบบ Real Time
“ถึงแม้การที่ลูกค้าแต่ละคนได้รูปภาพและข้อความไม่เหมือนกัน อาจจะดึงดูดลูกค้าได้แตกต่างกัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ The 1 ต้องทดสอบอยู่เสมอเพื่อสื่อสารให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน แน่นอนว่า The 1 ไม่ได้ใช้การสื่อสารแบบเดียวกันกับลูกค้าทุกคน แต่จะใช้การสื่อสารที่เหมาะกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน การทดสอบการสื่อสารกับลูกค้านั้นเป็นสิ่งที่ The 1 ให้ความสำคัญ โดย The 1 จะวิเคราะห์ข้อมูลและทดสอบการสื่อสารรูปแบบต่างๆ เพื่อหารูปแบบการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ” ธีรพล กล่าว
นอกเหนือจากการทำงานเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว อีกหนึ่งบทบาทของทีม The 1 คือการสร้างความเข้าใจการใช้ Data กับพาร์ทเนอร์ทั้งในและนอกกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมออกแบบแพลตฟอร์มแบบ Self-service ช่วยพาร์ทเนอร์สามารถสร้างแคมเปญที่ตรงใจลูกค้าได้ด้วยตนเอง และอาวุธสำคัญ คือ แพลตฟอร์ม Big Data ของ The 1 ที่ต้องยอมรับว่าตอบโจทย์แบบครบวงจร เพราะทำได้ทั้งวิเคราะห์ ประมวลผล Data, มี AI และ Machine Learning ครบจบในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้ลูกค้าสามารถทำ Hyper-personalization ได้แบบ Real Time และแม่นยำ
ธีรพล เล่าถึงการทำงานกับพาร์ทเนอร์ว่า เราพยายามสนับสนุนให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนให้กับการทำงาน โดยเริ่มที่การลองปรับ สร้าง Use case ด้วยกัน และวัดผลหลังจากการปล่อยแคมเปญออกไป ส่วนการสร้างแคมเปญใหม่ ก็ต้องมาพิจารณาที่เป้าหมาย เช่น อยากได้ฐานลูกค้าใหม่ หรืออยากให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ และหลังจากจบแคมเปญเราจะนำผลลัพธ์มาศึกษาด้วยกัน เพื่อให้พาร์ทเนอร์ได้เรียนรู้และนำกลับไปบริหารจัดการใหม่ได้ด้วยตนเอง
ศุภวัชร พูนจิระเดชมา – Data Science Specialist
“เราพัฒนาระบบเป็น Dashboard เพื่อให้พาร์ทเนอร์ทำงานแบบ Self-service ได้ สามารถดึงข้อมูลมาใช้งานเอง และวัดผลสำเร็จของแคมเปญเองได้อย่างรวดเร็วและตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด” ศุภวัชร กล่าวเสริม
ธีรพล กล่าวต่อว่า การทำ Big data เราเชื่อมต่อข้อมูลกับทุก Business Unit ในเครือ ไม่ว่าจะเป็น B2S, Tops หรือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ข้อมูลจะถูกนำมารวมอยู่ตรงกลาง แต่โดยธรรมชาติโครงสร้างของแต่ละธุรกิจนั้นจะเลือกนำข้อมูลมาวิเคราะห์ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เราทำคือ การรวมข้อมูลเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว และรับรองว่าสินค้าตัวไหนเป็นของลูกค้ากลุ่มไหน จากนั้นจะใช้ข้อมูลนี้เป็นตัวกลาง เพื่อให้แต่ละธุรกิจเข้ามาใช้ได้ ซึ่งการเป็น Big Data แพลตฟอร์ม จะมี AI และ Machine Learning อยู่ในนั้นแล้ว เพื่อทำ Hyper-personalization ได้เลย ส่วนข้อมูลที่ The 1 ได้มาแบบ Real Time ว่าลูกค้าซื้อสินค้าอะไรไป หรือชอบอะไร จะเข้ามาเสริมความแม่นยำให้มากขึ้นไปอีกขั้น เช่น ก่อนหน้านี้ลูกค้าซื้ออุปกรณ์ก่อสร้าง สีทาบ้านของตกแต่งบ้านไปจากไทวัสดุ อาจคาดการณ์ว่าลูกค้าอาจมีการสร้างบ้านใหม่ ก็เป็นโอกาสให้เราเสนอข้อเสนออื่นที่เกี่ยวข้องไปต่อยอดกับลูกค้า ซึ่งเราต้องวิเคราะห์กันว่าสินค้าตัวไหนที่ซื้อได้ตลอด ตัวไหนไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อยๆ
“ทั้งนี้ การวัดผลแคมเปญเราวัดโดยยึดหลัก CRM คือ การวัด Engagement และ Retention Rate ว่าลูกค้ามีเปอร์เซ็นต์การซื้อที่สูงขึ้นมากหรือไม่ ด้วยยอดที่สูงขึ้นหรือไม่ ลูกค้ายังคงอยู่กับเราในอนาคตหรือไม่ โดยวัดตั้งแต่ก่อนและหลังทำแคมเปญ” ธีรพล กล่าวเสริม
นอกจากความสามารถในการวิเคราะห์ Data หรือการทำ Personalization เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการให้ตรงกับความชอบของลูกค้า สิ่งที่ The 1 กำลังจะก้าวต่อไปนับจากนี้ คือ การนำข้อมูลเข้ามาและการตอบสนองแบบ Real Time ทุกที่ ทุกเวลา แบบ Hyper-Personalization ตลอดจนใช้ AI สนับสนุนการทำงานเพื่อประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และแม่นยำมากขึ้น รวมถึง การต่อยอดไอเดียด้วย Gen AI รองรับแคมเปญในอนาคต
จามร กล่าวว่า “Hyper-Personalization คือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อให้สามารถนำเสนอสิ่งที่ตรงใจกับลูกค้าได้แบบReal Time ตัวอย่างเช่น เมื่อเราทราบสัญญาณบ่งบอกว่าลูกค้ากำลังเดินเข้ามาในศูนย์การค้า เราก็สามารถนำเสนอโปรโมชั่นหรือสินค้าที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้าได้ทันที สมมุติว่าลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาช้อปปิ้ง ชอบซื้อสินค้าแฟชั่นที่เซ็นทรัล แต่กลับไม่เคยซื้อของที่ Tops เลย เมื่อเราเห็นข้อมูล Real Time จากการที่ลูกค้าซื้อสินค้า ก็สามารถส่งแคมเปญไปให้ว่า ถ้าลูกค้าสนใจซื้อสินค้าที่ Tops เรามีข้อเสนอพิเศษให้ ซึ่งเป้าหมายที่เราจะไปถึงคือ ลูกค้าแต่ละคนจะได้ข้อเสนอที่ไม่เหมือนกัน เมื่อลูกค้าเข้ามาช้อปปิ้งสินค้าแฟชั่นเหมือนกัน บางคนอาจจะได้การเชิญไปซื้อที่ Tops แต่บางคนที่เรารู้ว่าเขาเป็นคนที่ชอบสินค้าแบรนด์หรูก็อาจจะเชิญไปดูเครื่องใช้ไฟฟ้าในเพาเวอร์บายที่เป็นสินค้า Luxury เป็นต้น”
“เรารวบรวมข้อมูลและศึกษาพฤติกรรม รวมถึงความชอบของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งทำให้เราสามารถระบุได้ว่าลูกค้าแต่ละคนมีความชอบต่อสินค้าใดมากน้อยเพียงใด ซื้อบ่อยแค่ไหน เช่น กลุ่มบิวตี้เลิฟเวอร์ บางคนอาจจะซื้อของซ้ำๆ กัน หรือเลือกซื้อจากหลายๆ แบรนด์แตกต่างกัน ด้วยความเข้าใจมิติเหล่านี้เราจึงนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ศุภวัชร กล่าว
“วันนี้ เราเข้าใจลูกค้าทั้ง 360 องศาแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ โครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดจะต้องเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้เราสามารถนำเสนอสิทธิประโยชน์ที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หมายความว่า เราต้องมีแคมเปญที่หลากหลายเพียงพอที่จะรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคน และระบบของเราจะต้องสามารถนำเสนอแคมเปญที่เหมาะสมให้กับลูกค้าแต่ละคนได้อย่างอัตโนมัติ” จามร เสริม
ชณิดา ดีโรจนเดช Data Science Principal
ด้าน ชณิดา กล่าวถึงการใช้ Gen AI เข้ามาเสริมการพัฒนาของ The 1 ไปสู่ Hyper-Personalization ว่า “วันนี้เราใช้ Gen AI เป็นเหมือนผู้ช่วย ต่อยอดจนเกิดออกมาเป็นไอเดียได้ และช่วยการทำงาน Operation ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ใน 2 มุม ได้แก่ การสร้างคอนเทนต์และอาร์ตเวิร์คที่ตรงใจลูกค้ามากที่สุด Gen AI สามารถใช้เพื่อสร้างคอนเทนต์และอาร์ตเวิร์คที่ตรงกับความสนใจและพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งจะช่วยให้แคมเปญการตลาดของ The 1 มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอีกมุมของการนำเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า Gen AI สามารถใช้เพื่อสร้างแชตบอทที่คอยแนะนำสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น”
“เราเชื่อว่า Gen AI จะมีการพัฒนาโมเดลใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจได้มากขึ้น โดยโมเดลเหล่านี้จะต้องสามารถทำงานแบบ Private ได้ และจะต้องสามารถตอบออกมาเฉพาะเจาะจงกับข้อมูลของธุรกิจแต่ละรายเท่านั้น นอกจากนี้ The 1 ยังคาดหวังว่าจะบรรลุเป้าหมายการเป็น Hyper Personalization ภายใน 1 ปี ซึ่งหมายถึงการนำเสนอประสบการณ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนมากที่สุด โดยใช้ Gen AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าและสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงให้กับแต่ละคน” ธีรพล กล่าวเสริม
ถึงแม้การทำงานจะใช้ Automation เข้ามาช่วยมากมาย แต่เบื้องหลังของการขับเคลื่อนองค์กรนั้นจำเป็นต้องใช้คนที่พร้อมจะเดินไปในทิศทางเดียวกันกับองค์กร ซึ่ง The 1 ก็ยังคงมองหาคนที่มี Talent DNA เข้ามาร่วมเดินทางพัฒนาแพลตฟอร์มไปด้วยกันกับทีม Data & Insight ของ The 1
ธีรพล กล่าวว่าThe 1 เป็นตัวกลางให้กับทั้ง “B2C” คือกับลูกค้า และ “B2B” คือกับพาร์ทเนอร์ ซึ่งแต่ละคนมีเป้าหมายที่แตกต่างกันไป หน้าที่ของเราคือการสร้างสมดุลให้กับทุกฝ่าย ซึ่งสิ่งสำคัญของคนทำงานคือ ทัศนคติที่ดี อันดับแรกต้องเปิดใจ(Open Mind) เพราะไม่ใช่ทุกงานที่จะประสบความสำเร็จ เรียนรู้จากความผิดพลาดและรีบลุกขึ้นมาเพื่อเดินหน้าต่อ
จามร เสริมว่า การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ (Communication) การสื่อสารที่ดีจะช่วยให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบรรลุเป้าหมายร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์จำนวนมาก และมีข้อมูลจำนวนมากที่ต้องสื่อสารกันนอกจากนี้ การเข้าใจลูกค้าก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เนื่องจาก The 1 ต้องการที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ดังนั้นพนักงานของ The 1 จะต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า และสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งถ้าทุกคนมองเป้าหมายไปในทางเดียวกัน เอาผลประโยชน์ของลูกค้าเป็นที่ตั้งทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น”
“Data Team ของเราทุกคนมีความเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีเป็นพื้นฐานอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้น ความเข้าใจเรื่องธุรกิจจึงเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยให้ทีม Data ทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายของธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” ธีรพล กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ ธีรพลยังกล่าวทิ้งท้ายว่าสิ่งสำคัญของทีม Data คือการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทั้งภายในและภายนอกกลุ่มเซ็นทรัลอย่างใกล้ชิด ทำให้เข้าใจถึงความต้องการในเชิงลึกและครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ตลอดจนความเข้าใจเรื่องธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยให้ทีม Data สามารถพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากแนวทางการทำงานของทีม Data & Insight ของ The 1 นั้น นอกจากการให้ความสำคัญเรื่องความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคแล้วนั้น ยังแสดงให้เห็นว่าทีมที่ทำงานด้าน Data ขององค์กรควรให้ความสำคัญกับวิธีคิดและความเข้าใจเชิงธุรกิจ ขณะเดียวกัน การสื่อสารก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะกระบวนการทำงาน ไม่ได้จบสิ้นเบ็ดเสร็จอยู่ภายในทีม Data เพียงเท่านั้น แต่ยังต้องทำงานเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาแนวทางแก้ไขปัญหาหรือตอบโจทย์พัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้น และสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับลูกค้า ร่วมกับทีมการตลาด ทีม Business หน่วยธุรกิจหรือพาร์ทเนอร์อื่น ๆ ซึ่งแนวทางเหล่านี้ ทีม Data & Insight ของ The 1 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมายของธุรกิจได้จริง
–คุยกับ “แอม ไชยวัฒนพงศ์” กับบทบาท “Life Coach” ศาสตร์แห่งการสื่อสารที่ช่วยให้คนบรรลุได้ทุกเป้าหมาย
โค้ก โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย สร้างความฮือฮาให้กับตลาดเครื่องดื่มอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว "โค้ก" ซีโร่ กลิ่นวานิลลา ความอร่อยใหม่ที่ผสานความซ่าส์อันเป็นเอกลักษณ์ของ "โค้ก" เข้ากับความหอมหวานละมุนละไมของวานิลลาได้อย่างลงตัว ที่สำคัญคือมาในสูตรไม่มีน้ำตาล ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen…
บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น (Epson) ประกาศแต่งตั้ง โยชิดะ จุนคิชิ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและตัวแทนผู้อำนวยการ (President and Representative Director) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ (Chief…
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดย กองสิ่งแวดล้อม ฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้าง ช่วงเวลากลางคืน การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตลอดแนวเส้นทางโครงการฯ โดยเริ่มตั้งแต่จุดก่อสร้าง Cut…
LINE MAN ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Lotus’s และ Lotus’s go fresh ขยายฐานบริการ LINE MAN MART ให้ครอบคลุมกว่า 1,400 สาขาทั่วประเทศ…
พฤกษา ผนึกกำลัง โรงพยาบาลวิมุต มอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพครบวงจรให้ลูกบ้านตลอดปี 2568 ภายใต้แนวคิด "สุขภาพดีเริ่มต้นที่บ้าน" จิตชญา ตู้จินดา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง…
ออเนอร์ (HONOR) ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิป HONOR Magic7 Pro 5G ที่สร้างยอดขายเติบโตสูงถึง 2.4 เท่า นับตั้งแต่เปิดให้พรีออเดอร์เมื่อวันที่ 11-21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568…