กทปส. สนับสนุนโครงการทดลองการสื่อสารด้วยระบบ 5G สำหรับรถไร้คนขับ

กทปส. สนับสนุนโครงการทดลองการสื่อสารด้วยระบบ 5G สำหรับรถไร้คนขับ

กทปส. สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ร่วมกับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผ่านโครงการทดลองการสื่อสารด้วยระบบ 5G สำหรับรถไร้คนขับ เพื่อศึกษาข้อมูลทางเทคนิค ข้อจำกัด และปัจจัยแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจหรือการควบคุมรถ ทดสอบความสามารถในการตรวจจับ การบ่งชี้วัตถุของระบบตรวจจับของรถไร้คนขับ ทดสอบระบบสื่อสารภายใต้โครงข่าย 5G มาใช้งานระหว่างรถไร้คนขับในรูปแบบการติดต่อสื่อสาร C-V2X และพัฒนาและทดสอบ Use cases ของการนำเทคโนโลยี 5G

พร้อมนำข้อมูลจากการทดสอบมาใช้ในการกำหนดแผนและแนวทางข้อกำหนดเบื้องต้นของการใช้ของรถไร้คนขับ รวมถึงระบบสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้บริโภคและประชาชนผู้ใช้ท้องถนน โดยมุ่งหวังให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการเสริมสร้างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Intelligent Transportation System ผ่านระบบ 5G ในการทดสอบเก็บข้อมูลการทำงานพื้นฐาน และความสามารถของระบบ Sensor ของ Autonomous Vehicle

โครงการทดลองการสื่อสารด้วยระบบ 5G สำหรับรถไร้คนขับ คาดหวังความร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกรายในการดำเนินงานร่วมกันในโครงการดังกล่าว เบื้องต้นได้รับความร่วมมือกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) ในฐานะ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 5G เตรียมโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตามจำเป็นในการทดสอบเชื่อมต่อเข้ากับ Core Network และการทดลอง C-V2X รวมทั้งให้ข้อมูลที่จำเป็นและสนับสนุนในการดำเนินการในโครงการ

Rêver Automotive ทุ่ม 3,000 ล้าน ตั้งเป้าดันยอดขาย BYD ติด Top 5 ใน 5 ปี

ศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเปิดตัวรถรับส่งผู้โดยสารไร้คนขับ ได้ร่วมกับหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ พร้อมตัวแทนจากกรรมการบริหารของคณะฯ ดำเนินการทดสอบความสามารถของรถรับส่งผู้โดยสารไร้คนขับในการตรวจจับวัตถุต่างๆ ขณะขับขี่แบบไร้คนขับ เพื่อนำไปพัฒนาการควบคุมรถรับส่งผู้โดยสารไร้คนขับในอนาคต ซึ่งรถประเภทนี้จะใช้รับส่งผู้โดยสารในช่วงต้นและท้ายของการเดินทาง (First-last mile) โดยเชื่อมต่อกับการเดินทางโหมดอื่นๆ เช่น รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน รถเมล์และการเดินทางอื่นๆ โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มีความมุ่งหมายที่จะพัฒนาและนำรถรับส่งผู้โดยสารไร้คนขับมาให้บริการรับส่ง หรือเปิดให้บริการเรียกผ่านแอปไร้คนขับเพื่อช่วยแก้ปัญหาการจราจรในอนาคต

“โดย เทคโนโลยีรถไร้คนขับ ยานยนต์แห่งอนาคต เป็นหนึ่งใน 4 ส่วนประกอบสำคัญของยานยนต์สมัยใหม่ ที่ประกอบด้วย C-A-S-E กล่าวคือ Connected, Automated, Shared และ Electric vehicle ซึ่งถ้าเทียบกับส่วนประกอบอื่นแล้ว รถไร้คนขับต้องการความพร้อมและการผนวกรวมในระดับสูงสุด ของทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟ์ทแวร์และโครงสร้างพื้นฐานทางการสื่อสารและคมนาคม ดังนั้นภายใต้โครงการการทดลองการสื่อสารด้วยระบบ 5G สำหรับรถรับส่งโดยสารไร้คนขับนี้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ จึงมีเป้าประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา เพื่อมาร่วมวิจัยและทดสอบระบบรถไร้คนขับในระดับต่างๆ โดยที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจาก กสทช. และ กทปส. ซึ่งในจุดเริ่มต้นนี้ทีมงานของโครงการเกิดจากความร่วมมือของคณาจารย์ภายในคณะวิศวฯจากภาควิชาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า และภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ของคณะ”

ศ.ดร.สุพจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อุบัติเหตุทางถนนมีโอกาสลดลงได้หากการพัฒนาเทคโนโลยีรถไร้คนขับประสบผลสำเร็จ การจัดทำการทดลองไม่ได้ช่วยแค่ควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น แต่การทดสอบนี้ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพความปลอดภัยในการเดินทางด้วย ซึ่งการทดลองนี้อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์วิจัยยานยนต์และระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart MOB) เป็นศูนย์วิจัยบูรณาการแห่งแรกของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่มีการศึกษาและพัฒนาด้านระบบขนส่งอัจฉริยะ ยานยนต์ไฟฟ้า ระบบความปลอดภัยทางถนน และการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านการเดินทางขนส่งของสังคมผู้สูงวัยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556

“การทดลองครั้งนี้ว่า ศูนย์วิจัยยานยนต์และระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility Research Center) มุ่งหวังให้แพลทฟอร์มรถไร้คนขับที่ได้รับการพัฒนาขึ้นนี้เป็นแพลทฟอร์มกลางเพื่อให้นักวิจัยจากภาควิชาต่างๆ หรือแม้แต่จากคณะต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมใช้ประโยชน์ อันจะเป็นการขยายผลการทดสอบ use case ของรถไร้คนขับเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้บริโภคและผู้ใช้ท้องถนนในอนาคตต่อไป ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้ยังได้มีการพูดคุยถึงแนวทางการทดสอบระบบรถไร้คนขับที่จะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีหลายส่วน ให้สามารถใช้ได้จริงในอนาคต โดยใช้ระบบสื่อสาร 5G มาใช้งานระหว่างรถไร้คนขับกับระบบอื่นๆ ด้วย” ศ.ดร.สุพจน์ กล่าวสรุป

Scroll to Top