‘ดร.ดนันท์’ นั่งแม่ทัพไปรษณีย์ไทยต่ออีก 4 ปี หลังผลงานเข้าตา ปี 66 กำไรพุ่ง 5 เท่า

‘ดร.ดนันท์’ นั่งแม่ทัพไปรษณีย์ไทยต่ออีก 4 ปี หลังผลงานเข้าตา ปี 66 รายได้ 2 หมื่นล้าน กำไรพุ่ง 5 เท่า

ที่ประชุมคณะกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มีมติให้ต่อสัญญาจ้าง ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ต่ออีก 4 ปี นับตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 ถึงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2572 การต่อสัญญาครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสานต่อการดำเนินงานตามนโยบายและโครงการต่าง ๆ ของไปรษณีย์ไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริหารที่พลิกโฉมไปรษณีย์ไทยให้ทันสมัย และมีบทบาทสำคัญในการนำพาองค์กรก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ โดยผลประกอบการในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ผลประกอบการปี 2566 โดดเด่น

ไปรษณีย์ไทยรายงานผลประกอบการปี พ.ศ. 2566 ด้วยรายได้รวม 20,934.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.40% จากปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 78.54 ล้านบาท แม้ตัวเลขกำไรจะไม่สูงมากนัก แต่ถือเป็นการฟื้นตัวที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากสภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาด

ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของไปรษณีย์ไทยมาจากธุรกิจขนส่งที่ขยายตัวถึง 19% คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 45.5% ตามมาด้วยธุรกิจไปรษณีย์ภัณฑ์ 33.8% ธุรกิจบริการระหว่างประเทศ 13.4% ธุรกิจค้าปลีก 4.9% และอื่น ๆ 2.4%

กลยุทธ์ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ขยายธุรกิจรีเทล

ความสำเร็จของไปรษณีย์ไทยในปี พ.ศ. 2566 มาจากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการปรับลดต้นทุนด้านบุคลากรและปรับปรุงเส้นทางการขนส่งให้สั้นลง นอกจากนี้ ยังมีการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในการขนส่งช่วงสุดท้าย (Last mile) ซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ถึง 70% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ไปรษณีย์ไทยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ราว 2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ผลประกอบการ 9 เดือนแรก ปี 2567 รายได้รวม 15,858.67 ล้านบาท

สำหรับปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทยยังคงมุ่งเน้นการขยายธุรกิจค้าปลีก ซึ่งเติบโตอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจค้าปลีกเป็น 15% ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปีนี้ไว้ที่ 22,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าจากปีที่แล้ว

จากความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลประกอบการของไปรษณีย์ไทยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค. – ก.ย.) มีรายได้รวม 15,858.67 ล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ยังคงเป็นหัวหอกสำคัญในการสร้างรายได้ คิดเป็นสัดส่วน 46.48% ของรายได้ทั้งหมด และมีการเติบโตจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ราว 3.34% สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น ค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ

สำหรับปี 2567 ไปรษณีย์ไทยตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 22,802 ล้านบาท และตั้งเป้ากำไรเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากปีก่อน หรือประมาณ 350 ล้านบาท

ความเชื่อมั่นจากคนไทย หนุนธุรกิจเติบโต

ความสำเร็จของไปรษณีย์ไทยในวันนี้ ไม่ได้มาจากความพยายามขององค์กรเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากการสนับสนุนและความเชื่อมั่นจากคนไทย ที่มีต่อแบรนด์ไปรษณีย์ไทย สะท้อนจากผลสำรวจความเชื่อมั่นในแบรนด์ไปรษณีย์ไทยปี 2567 ที่สูงถึง 91.87% ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ไปรษณีย์ไทยมุ่งมั่นพัฒนาบริการให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

ก้าวสู่แบรนด์น่าเชื่อถือในอาเซียน

นอกจากนี้ การเติบโตของไปรษณีย์ไทยยังมุ่งเน้นการขยายธุรกิจรีเทลให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเดินหน้าสู่การเป็น Trusted Sustainable Asean Brand หรือแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถืออย่างยั่งยืนในอาเซียนภายใน 3 ปี

ที่่ผ่านมาได้สร้างความเชื่อมโยงกับการเติบโตของวิสาหกิจชุมชนไทย โดยไปรษณีย์ไทยเป็นตัวกลางสำคัญที่ช่วยให้สินค้าจากชุมชนเข้าสู่ตลาดได้ง่ายขึ้น และมีแผนที่จะขยายการขนส่งไปยังต่างประเทศมากขึ้น

รวมถึงพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยมีระบบติดตามสินค้าแบบเชิงรุก (Proactive Tracking) ที่ช่วยให้ผู้ส่งทราบสถานะของสินค้าได้ตลอดเวลา และมีการพัฒนาบุรุษไปรษณีย์ให้เป็นมากกว่าผู้ส่งของ แต่เป็นผู้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

ไปรษณีย์ไทยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การทำตามมาตรฐานอุตสาหกรรม แต่ให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และส่งมอบบริการที่เหนือความคาดหวัง โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและยั่งยืนในระดับอาเซียนภายใน 3 ปี

ไปรษณีย์ไทย เปิดความสำเร็จปี 66 กลับมาทำกำไรสำเร็จ พร้อมกางแผน 3 ปี ก้าวสู่ Trusted Sustainable ASEAN Brand

Scroll to Top