บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด โชว์เป้าหมายการยกระดับตลาดกัญชงอย่างครบวงจร โดยมีการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ เพื่อพัฒนาสายพันธุ์และเมล็ดพันธุ์กัญชงให้มีความโดดเด่นทั้งด้วยความเหมาะสมกับสภาพอากาศในเมืองไทย การยกระดับให้เป็นสายพันธุ์ไทยที่เกษตรกรสามารถเข้าถึงได้ การสกัดที่ให้ค่าสาร CBD ที่สูงถึงร้อยละ 25-26
พร้อมเผยเตรียมผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่มแรกในปี 2023 ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มอาหารเสริม และกลุ่มเวชสำอาง รวมถึงการผลิตและจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งปัจจุบันมีสูตรยาที่มีกัญชงเป็นสารประกอบราว 40 ชนิด ทั้งนี้ ได้วางเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดไว้ที่ร้อยละ 10 พร้อมขยายสู่ผู้นำของตลาดฟาร์มาซูติคอลที่มีกัญชงเป็นส่วนประกอบของเอเชียในอนาคต
ยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยว่า จากการศึกษากัญชงมาตั้งแต่ปี 2019 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขจนถึงปัจจุบัน พบแนวโน้มการเติบโตของตลาดกัญชงโลกรวมถึงประเทศไทย ที่มีโอกาสไปได้ไกลในอนาคตอย่างชัดเจน โดยปัจจัยที่ไทยลีฟเล็งเห็นคือ
1.สารสกัด CBD ของกัญชงพัฒนาใช้งานได้หลายด้าน มีประสิทธิภาพและมีคุณประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม Health Care & Wellness เช่น การดูแลกลุ่มผู้สูงอายุในไทย และโรคยอดฮิตคนไทย
2.กฎหมายรองรับที่ชัดเจน จากภาครัฐในหลายๆ ประเทศทั้งฝั่งอเมริกาเหนือ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ฝั่งอเมริกาใต้บางส่วน ฝั่งยุโรป และฝั่งออสเตรเลีย ซึ่งประเทศเหล่านี้เล็งเห็นประสิทธิภาพการใช้งานในวงการแพทย์ รวมถึงการนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสารเสพติด
3.โอกาสของไทยในระดับมหภาค ซึ่งปัจจุบันต่างประเทศ รวมถึงประเทศในฝั่งเอเชียกำลังจับตามองประเทศไทยเนื่องจากไทยเปิดตลาดกัญชงเสรีมาแล้วร่วมปี
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาประชากรในฝั่งอาเซียนทั้งหมดที่มีราว 777 ล้านคน ซึ่งรวมกันแล้วใหญ่กว่าอเมริกา3 เท่า ยิ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มตลาดกัญชงไทยจะเติบโตไปได้อีกในหลายประเทศ เช่น ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม รวมถึงหากปี 2023 ภาครัฐไทยมีการออกข้อกฏหมายรองรับสาร CBD จากกัญชง ระบุสิ่งที่ทำได้ – ทำไม่ได้ที่ชัดเจน พร้อมมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องอย่างจริงจัง จะยิ่งเสริมให้โอกาสตลาดกัญชงในไทยเติบโตเร็วยิ่งขึ้นภายใน 1-3 ปี ซึ่งยังไม่นับรวมผู้เล่นอย่าง จีนและอินเดีย ที่มีประชากรรวมกันราว 3 พันล้านคนในกรณีที่ตัดสินใจโดดเข้ามาร่วมตลาดเดียวกันนี้
ปัจจัยดังกล่าวตอกย้ำการพัฒนาธุรกิจของไทยลีฟในการเป็น One Stop Service ที่พร้อมพัฒนาตลาดกัญชงตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งขณะนี้ไทยลีฟมีการผนึกพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ ตั้งแต่การนำเข้าเมล็ดพันธุ์ การปลูก และการสกัด โดยความพิเศษของเมล็ดพันธุ์จะแตกต่างจากรายอื่น
เนื่องจากไทยลีฟเป็นบริษัทเดียวในเอเชียที่ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) TOP 3 มหาวิทยาลัยของอเมริกาที่มีการวิจัยสายพันธุ์และเมล็ดพันธุ์กัญชงมากว่า 30 ปี โดยมีรัฐบาลให้งบสนับสนุน โดยเมล็ดพันธุ์กัญชงที่ไทยลีฟร่วมพัฒนาและนำเข้าจะมีความโดดเด่นด้วยค่าสาร CBD (Cannabidiol) ที่สูงมาก อยู่ที่ร้อยละ 25-26 ทำให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ในระยะเวลาที่ยาวนาน แตกต่างจากการปลูกกัญชงสายพันธุ์ของประเทศไทย เช่นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จังหวัดสกลนคร จังหวัดเชียงราย ซึ่งจะให้ค่าสาร CBD ที่ต่ำอยู่ที่ร้อยละ 4 ทำให้ส่วนใหญ่เป็นกัญชงที่ให้พวกเส้นใยเหมาะในการไปทำเครื่องนุ่งห่มมากกว่าใช้เพื่อทางการแพทย์
นอกจากนี้มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ ยังมีการส่งผู้เชี่ยวชาญมาประจำการร่วมวิจัยกับไทยลีฟ ซึ่งในอนาคตไทยลีฟ ตั้งใจจะเป็นผู้พัฒนาสายพันธุ์กัญชงสัญชาติไทยที่มีคุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ พร้อมจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อจัดจำหน่ายให้แก่เกษตรกรไทยในราคาที่ย่อมเยาว์ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาการนำเข้าเมล็ดพันธุ์ที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
รวมถึงนำความรู้ข้อมูลวิจัยที่ถูกต้อง นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ คานาร์ฟามา อินเวสต์เมนต์ส อิ้งค์ (Cannapharma Investments Inc.) บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอราเลียน แคปิตอล จำกัด (Aralian Capital) ถ่ายทอดสู่เกษตรกรท้องถิ่นให้หันมาปลูกกัญชงอย่างถูกต้อง ถูกวิธี เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ตลอดจนคุณภาพของน้ำมันและสารสกัดที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นความได้เปรียบสำหรับการใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ”
ยิ่งยศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนการทำผลิตภัณฑ์ที่มีสารสกัด CBD จากกัญชง ปัจจุบันไทยลีฟมีสูตรผลิตภัณฑ์ที่พร้อมพัฒนาทันทีกว่า 1,000 สูตร มีการจดลิขสิทธิ์และขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาแล้วในอเมริกา และมีการทำผลิตภัณฑ์ออกมาจำหน่ายแล้วที่แคลิฟอร์เนียรวมถึงยุโรป สำหรับประเทศไทยได้วางเป้าผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่มแรกในปี 2023 ได้แก่ 1. กลุ่มเครื่องดื่ม (Drinks & Beverages) 2. กลุ่มอาหารเสริม (Supplement) และ 3. กลุ่มเวชสำอาง (Cosmetic)
และหลังจากนั้นจะผลิตและจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา ซึ่งปัจจุบันมีสูตรยาที่มีกัญชงเป็นสารประกอบราว 40 ชนิด โดยเฉพาะการช่วยรักษาโรคยอดฮิตของคนไทย ได้แก่ โรคนอนไม่หลับ โรคพาร์กินสัน อาการปวดข้อเข่า โดยตามข้อมูลวิจัยพบว่าประชากรไทยร้อยละ 30 หรือกว่า 20 ล้านคน กำลังเผชิญกับโรคนอนไม่หลับซึ่งมีทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว มีสาเหตุคือความเครียดทั้งจากการทำงาน ความกดดันสูง และกรณีที่เครียดมากอาจส่งผลเป็นโรคแพนิค ออฟฟิศซินโดรม และอื่นๆ ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถรักษา หรือบรรเทาอาการได้ด้วยสารสกัด CBD เนื่องจากมีสารที่จะเข้ามาช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สร้างสมาธิมากขึ้น และไม่ทำให้มึนเมา
“ไทยลีฟคาดการณ์ว่าการเติบโตของตลาด CBD จากกัญชงทั่วโลกในอีก 5 ปี หรือราวปี 2027 จะมีมูลค่าสูงถึง 1.86 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ข้อมูลจาก www.theshelbyreport.com) ส่วนในประเทศไทยปีแรกคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ราว 3,800 – 7,200 ล้านบาท ยิ่งหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ความเข้าใจในข้อมูลที่ถูกต้อง ชี้แจงถึงสิ่งที่ทำได้ ทำไม่ได้ หรือชี้ให้เห็นข้อดีของกัญชงแก่ภาคประชาชน จะยิ่งช่วยยกระดับให้กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่แห่งอนาคตได้รวดเร็วและเชื่อว่าไปได้ไกลกว่ากัญชาแน่นอน นอกจากนี้ ในปี 2566 มั่นใจว่าคนไทยจะเห็นภาพคุณประโยชน์ของกัญชงที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในภาพการแข่งขันและการลงทุนจะเห็นโอกาสทางธุรกิจกัญชงในตลาดอาหารเสริม และตลาดเฮลธ์แคร์ที่ชัดเจนมาก ซึ่งประเทศไทยตอนนี้เป็น Medical Hub ของโลกและเอเชีย มีการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ มีอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ก้าวหน้า และเชื่อว่าจะได้เห็นการแข่งขันจากธุรกิจต่างๆ ที่เข้ามาในตลาดนี้อย่างคึกคักแน่นอน”
ยิ่งยศ กล่าวทิ้งท้ายว่า ไทยลีฟมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการขยายธุรกิจกัญชงตั้งแต่ในประเทศ อาเซียน เอเชีย ไปจนถึงตลาดโลก โดยมั่นใจถึงความเป็นธุรกิจยุคใหม่ที่มีความโดดเด่นกว่ารายอื่นๆ เพราะไทยลีฟเริ่มต้นเดินก้าวที่ 10 ไม่ใช่ศูนย์ มีทุกอย่างที่พร้อมและพัฒนาได้ทันทีไม่ว่าจะเป็นในด้านพันธุ์กัญชงที่มีคุณภาพ เทคโนโลยีการสกัด CBD ที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถต่อยอดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้หลากหลาย งานวิจัยจากสถาบันระดับโลก พันธมิตรที่แข็งแกร่ง เชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่น่าเชื่อถือ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากกัญชงเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศไทย ในระยะแรก บริษัทได้วางเป้าส่วนแบ่งทางการตลาดไว้เพียงร้อยละ 10 แต่เมื่อรัฐบาลมีการประกาศข้อกำหนดต่างๆ ที่ชัดเจนมั่นใจว่าไทยลีฟจะขยายไปยังตลาดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดฟาร์มาซูติคอลที่มีกัญชงเป็นส่วนประกอบของเอเชียอย่างแน่นอน