บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่าง นีเวีย และยูเซอริน ประกาศแผนกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน C.A.R.E.+ (Care Beyond Skin) ที่ให้คุณค่าเหนือกว่า การส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณคุณภาพเยี่ยม แต่ตลอดห่วงโซ่อุปทานยังดำเนินไปโดยคำนึงถึงความยั่งยืนของโลกใบนี้ในทุกมิติ ทั้งผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม ผ่านโครงการหลากหลายที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาสภาพภูมิอากาศ การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและมีการหมุนเวียน รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชุมชนต่างๆ
โดยไบเออร์สด๊อรฟตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานลง 30% ภายในปี พ.ศ. 2567 และเดินหน้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี พ.ศ. 2573
สเตฟานี แบร์โรล รองประธานกรรมการอาวุโส ภูมิภาคอาเซียน บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ กล่าวว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไบเออร์สด๊อรฟทั่วโลกและประเทศไทย มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อสอดคล้องกับพันธกิจหลักที่จะเป็นมากกว่าการส่งมอบสกินแคร์ที่มีคุณภาพให้กับผู้บริโภค หากแต่เรายังให้ความสำคัญกับการพัฒนาและรักษาโลกใบนี้ให้น่าอยู่และเป็นไปเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และสังคม ซึ่งดำเนินไปภายใต้กลยุทธ์ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน C.A.R.E.+ (Care Beyond Skin) ที่เราตั้งมั่นทำให้เกิดขึ้นเป็นที่รูปธรรมชัดเจนและเป็นต้นแบบให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดทั้งระบบห่วงโซ่อุปทานของไบเออร์สด๊อรฟ โดยมีเป้าหมายระยะยาวสู่การเป็นธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอย่างแท้จริง”
กลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน C.A.R.E.+ (Care Beyond Skin) ดำเนินงานโดยคำนึงถึงสามแกนหลัก คือ ผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการทำธุรกิจของไบเออร์สด๊อรฟ ได้กำหนดให้ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย การส่งมอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค การรักษาสภาพอากาศที่ดีต่อไปสู่อนาคต การใช้ทรัพยากรที่หมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ การใช้ผืนดินอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืน การปรับคุณภาพสภาพแวดล้อมของน้ำ การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และการส่งเสริมสังคมที่เคารพและยอมรับในความแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาศักยภาพและบทบาทของสตรี เด็ก และเยาวชน ซึ่งไบเออร์สด๊อรฟทั่วโลกได้ริเริ่มทำโครงการ รวมทั้งการผนึกความร่วมมือกับพันธมิตรองค์กรไม่แสวงหากำไรต่าง ๆ
อนึ่ง ด้วยสถานการณ์โลกร้อนที่ถือเป็นวาระสำคัญที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจและนำมาเป็นประเด็นหลักในการวางแนวทางการดำเนินธุรกิจของทุกภาคส่วน รวมถึงการนำเสนอแนวทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม BCG Economy ในการต่อยอดธุรกิจแห่งอนาคตนอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล ไบเออร์สด๊อรฟได้มองเห็นถึงความสำคัญและนำมาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่แหล่งที่มาของวัตถุดิบที่จะต้องมีการปลูกและเก็บเกี่ยวโดยไม่ทำลายผืนดิน การรักษาผืนป่าและต้นน้ำ การจ้างงานและพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้มีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนในโรงงานผลิตก็เลือกใช้พลังงานที่สามารถทดแทนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการเลือกวัสดุที่นำมาเป็นส่วนผสมผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่ต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และใช้ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า สูงสุดอีกด้วย นอกจากนี้ ยังรวมถึงการกำจัดและบำบัดของเสียจากกระบวนการผลิต ต่อเนื่องไปถึงการขนส่งที่จะต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นับแต่ปี พ.ศ 2562 เป็นต้นมา ฐานการผลิตทั่วโลกของไบเออร์สด๊อรฟ รวมทั้งประเทศไทยได้เปลี่ยนมาใช้พลังงานสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ 100% โดยเป้าหมายต่อไปคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานลง 30% ภายในปี พ.ศ. 2567 และเดินหน้ามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573
สำหรับฐานการผลิตของ ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) มีการขานรับและร่วมปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกันอย่างจริงจัง ด้วยกระบวนการผลิตรักษ์โลกเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อาทิ การกำจัดกากหรือของเสียโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม (Zero Waste Landfill) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559, ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ 43% จากการใช้นวัตกรรมพลังงานลูกผสมอย่าง Mobile Energy เทียบกับข้อมูลฐานด้านพลังงาน (baseline) ในปี 2561, 100% ของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้มาจากแหล่งพลังงานทางเลือก รวมทั้งการพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สีเขียวที่เริ่มแล้วในผลิตภัณฑ์ดูแลและทำความสะอาดผิวพรรณซึ่งเลือกใช้พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือส่วนผสมที่ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์นีเวียที่ปลอดไบโอพลาสติก 100% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 และผลิตภัณฑ์กันแดดที่ไม่มีสารที่ทำร้ายปะการัง เป็นต้น
สุเรขา วันเพ็ญ Production Center Director บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ที่โรงงาน ไบเออร์สด๊อรฟ ในประเทศไทย เราให้ความสำคัญกับพันธกิจของบริษัทและมุ่งมั่นในการปรับส่วนที่เราสามารถค่อย ๆ ทำได้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน เช่น กระบวนการผลิตเพื่อลดคาร์บอนฟุ๊ตพริ้นท์ ทั้งการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มีการหมุนเวียนการใช้พลังงาน การบำบัดน้ำเสีย ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ ด้านพนักงานเราก็มีการรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้และเชิญชวนร่วมกิจกรรมที่จะเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกในการเป็นธุรกิจเพื่อความยั่งยืนอย่างโครงการคัดแยกขยะ การปลูกป่า และการประกวดโครงงานรักษ์โลกต่าง ๆ อีกด้วย”
กว่าทศวรรษนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา ไบเออร์สด๊อรฟ ได้ทำโครงการและกิจกรรมCSR แบบบูรณาการภายใต้กลยุทธ์ C.A.R.E.+ (Care Beyond Skin) มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายโครงการถือเป็นจุดเริ่มต้นและได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีไม่ว่าจะเป็น การใช้พลังงานทดแทน บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาคุณภาพและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและผืนป่าในแหล่งวัตถุดิบ โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการศึกษาให้กับสตรีและเยาวชนในชุมชนท้องถิ่นต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งวัตถุดิบและการผลิตทั่วโลก ล่าสุดกับโครงการปรับปรุงห้องสมุดของโรงเรียนที่ยากไร้ 11 แห่งทั่วประเทศไทยเพื่อพัฒนาให้เป็นแหล่งเสริมสร้างทักษะและเรียนรู้ตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังได้มีการบริจาคเงินกว่า 50 ล้านยูโรและสิ่งของจำเป็นทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือองค์กรด้านสาธารณสุขและการแพทย์ในช่วงวิกฤตโควิด-19 อีกด้วย