ไปรษณีย์ไทยเดินหน้าพัฒนาการให้บริการ เน้นปรับรูปแบบการส่งสินค้าแต่ละอย่างให้แตกต่างกัน รวมถึงปรับโลจิสติกส์ให้สอดคล้องกันสินค้า พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์การให้บริการได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ยืนยันไม่คิดแข่งในสงครามราคา
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยประสบความสำเร็จ หลังประสิทธิภาพการนำจ่ายมีการสอบสวน เช่น พัสดุหาย หรือลูกค้าเข้ามาตามหาพัสดุ ลดลงถึง 46% เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา ขณะที่ปริมาณการใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น 15%
ด้านการขยายสาขา ไปรษณีย์ไทย ตั้งใจจะขยายเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ 11,000 แห่ง โดยเพิ่ม EMS Point Service ผ่าน Lotus, CJ หรือ ให้ร้านค้าทำแฟรนไชน์ ซึ่งเป็นอีกวิธีให้คนทำธุรกิจช่วยรวบรวมสินค้าสำหรับจัดส่ง รวมถึงร่วมมือกับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) เป็นดรอปสินค้า
สร้าง Value ที่แตกต่าง
ดร.ดนันท์ ภารกิจของไปรษณีย์ไทยคือการสร้างคุณค่า (Value) กับการส่งสินค้ามากขึ้น เริ่มจากการใช้แพ็กเกจจิ้งที่เหมาะสมกับสินค้า ไม่ว่าจะเป็น ต้นไม้ ผลไม้ ส่งของเย็น จะต้องสร้างโลจิสติกส์ให้เหมาะสม โดยเฉพาะการส่งของเย็น เมื่อถึงมือลูกค้า สินค้าจะต้องสด ต้องรักษาอุณหภูมิให้ได้ตลอดการขนส่ง เช่นลำไย เป็นผลไม้เปลืองบาง ถ้าจัดการไม่ดีลำไยจะคลายน้ำทำให้กล่องชื้น จึงต้องแก้ตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้ไปถึงปลายทางและได้คุณภาพที่ดี
“เรามีกล่องทำมือ สำหรับส่งสินค้าที่มีรูปลักษณ์แปลกๆ สามารถส่งเบ็ดตกปลาได้ กล่องสามารถปรับแต่งเพื่อให้ผ่านระบบขนส่งได้ ขณะที่สินค้ายังปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีพื้นที่คัดแยกสินค้าเหล่านี้โดยเฉพาะ”
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยจะขยายธุกิจ Retail มากขึ้น โดยใช้แพลตฟอร์ม ThailandPostMart เป็นช่องทางขายผ่านออนไลน์ ขณะที่จะมีช่องทางขายออฟไลน์ผ่านสาขาของไปรษณีย์ไทย นำของดีในแต่ละพื้นที่มาขาย ซึ่งกระบวนการหาสินค้ามาจากการที่พนักงานไปรษณีย์รู้ว่าแต่ละจุดมีอะไรดี ก่อนจะมีผู้เชี่ยวชาญลงไปชิมหรือทดสอบสินค้า และนำมาขายในพื้นที่
“เรามี Data ว่าคนแต่ละพื้นที่ชอบอะไร และนำสินค้าเหล่านั้นมาขาย นอกจากนี้ยังมีบุรุษไปรษณีย์ช่วยแนะนำสินค้า”
ไปรษณีย์ไทยตั้งเป้าสร้างรายได้จาก Retail ที่ 500 ล้านบาทในปีนี้ แบ่งเป็นสัดส่วนผ่าน ThailandPostMart ประมาณ 30% ขายผ่านบุรุษไปรษณีย์และสาขา 70%
นอกจากนี้ยังมีแผนปรับรูปแบบการส่งแบบ Next Day ทั้งประเทศ ซึ่งกำลังมองหาพาร์ทเนอร์ เช่น บขส. ที่ได้รับมติ ครม. ให้ส่งของได้ ซึ่ง บขส. จะมีเส้นทางเดินรถที่ชัดเจน มีการรถไฟที่สามารถเข้ามาช่วยส่งสินค้าไปสู่อีกที่หนึ่งได้ ซึ่ง ดร.ดนันท์ กล่าวเสริมว่า ตลาดนี้จะเหมาะกับลูกค้าที่ต้องการได้สินค้าไว คาดว่าจะเริ่มได้ภายใน 2 เดือนนี้
เชื่อมเทคโนโลยี-ธุรกิจขนส่ง
สำหรับการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ไปรษณีย์ไทยมีแผนจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยส่งเสริมการทำงานทั้งภายในองค์กรและลูกค้าสะดวกมากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนระบบขนส่งสู่พลังงานสะอาด
ดร.ดนันท์ กล่าวถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีว่า ไปรษณีย์ไทยลงทุนระบบไอทีเพื่อเข้ามาบริหารจัดการการขนส่งให้ดีขึ้น คนส่งสินค้าจะลดการใช้เวลาลงเมื่อเข้ามารับบริการที่ไปรษณีย์ไทย ขณะที่เจ้าหน้าที่สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น รับงานได้มากขึ้น
ปัจจุบันลูกค้าสามารถติดตามพัสดุผ่าน LINE ได้ เพียงแค่ใส่เบอร์โทรศัพท์ ก็สามารถตรวจสอบสินค้าได้ทุกชิ้น โดยที่ไม่ต้องใส่ Tracking ID แยก ซึ่งในอนาคตยังมีแผนเชื่อมต่อระบบขนส่งของไปรษณีย์ไทยกับแพลตฟอร์มต่างๆ ให้มากขึ้น
ด้านการขนส่ง ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยได้ทดลองใช้รถยนต์ไฟฟ้า 250 คัน สำหรับการขนส่งสินค้าในปีนี้ และจะเพิ่มเป็น 500 คันในปีหน้า รวมถึงการเปลี่ยนรถจักรยานยนต์ของไรเดอร์ ซึ่งมีความร่วมมือกับ OR ทำการทดสอบอยู่ 30 คัน ใช้ส่งพัสดุในระยะไม่เกิน 100 กม. เพราะยังต้องศึกษาเรื่องมาตรฐานของแบตเตอรี่ที่จะใช้กับตัวรถจักรยานยนต์
“ด้วยต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น เราจึงต้องวางแผนวิ่งงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”
ดร.ดนันท์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนในธุรกิจ EV มีการพูดคุยกับพันธมิตรบางราย ซึ่งกำลังมองว่าจะเข้าไปเติมเต็มระบบนิเวศในส่วนใดได้บ้าง และจะทำอย่างไรให้ไรเดอร์สามารถทำงานได้ดี คาดว่าจะมีความชัดเจนในปีนี้
สงครามราคายังอีกยาว
สำหรับการแข่งขันในตลาดส่งพัสดุในปีนี้ EIC คาดว่าจะโตประมาณ 11%
“เราพบว่าคนซื้อของออนไลน์หลังโควิด-19 ไม่ได้เติบโตขึ้นอีก คนเริ่มเดินทางออกจากบ้านมาซื้อของด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นจะเกิดสงครามราคาขึ้น” ดร.ดนันท์ กล่าว
หลายเจ้าในตลาดเริ่มทำสงครามราคา ในปีนี้ราคาค่าขนส่งพัสดุต่อชิ้นลดลงมาเกือบ 10% และยังไม่น่าจะจบเร็วๆ นี้ เพราะทุกคนต้องการเพิ่มฐานลูกค้า เพิ่มปริมาณการส่งสินค้า นอกจากนี้เมื่อเจ้าใหม่เข้ามาก็จะเกิดการทำราคา
“เรามีแผนลดต้นทุน ปรับการขนส่ง และให้ความสำคัญกับการส่งสินค้าแต่ละชิ้นมากขึ้น เรามั่นใจว่าราคาเราเข้าถึงได้ และพ่อค้าแม่ค้าสามารถใช้งานได้ ไม่เป็นภาระกับการทำธุรกิจ” ดร.ดนันท์ กล่าวสรุป