ITC หนึ่งในผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำของประเทศไทย ประกาศเดินหน้ากลยุทธ์ Pet Centric ส่งมอบอาหารที่อร่อยที่สุด กินแล้วสุขภาพดีกับหมาแมวทั่วโลก
หลายธุรกิจมักจะใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ Customer Centric หรือการทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์กับแบรนด์อย่างดีที่สุด แต่กับสัตว์เลี้ยงนั้นแตกต่างออกไป เพราะสัตว์เลี้ยงไม่ได้ต้องการแพ็กเกจสวยๆ หรือเทคโลโนยีล้ำๆ หลายครั้งจะเห็นว่าแมวมักไม่สนใจของเล่นราคาแพงสุดล้ำ แต่กลับไปเล่นมุดกล่องกระดาษ หรือ ไม้ตกแมวถูกๆ
–ไอ-เทล เผยผลประกอบการ Q1 ปี 66 พร้อมเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจกว่า 2.1 พันล้านปีนี้
เช่นเดียวกัน การทำอาหารให้คนทาน หากบรรยากาศดี จานชามสวย หน้าตาดูน่าทาน รสชาติอร่อย บริการดี ย่อมดึงดูดลูกค้าได้ แต่กับสัตว์เลี้ยงนั้นต้องการเพียงแค่รสชาติอร่อย กับกินแล้วสุขภาพดี มีชีวิตอยู่ได้ยาวนานขึ้น จึงเป็นที่มาของกลยุทธ์ Pet Centric หรือการปรุงอาหารที่สัตว์เลี้ยงชอบมากที่สุด มีประโยชน์ที่สุด ซึ่งหนึ่งในบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยง “หมา แมว” ที่เดินหน้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการของสัตว์เลี้ยงมานานหลายปี คือ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC
แค่สัตว์เลี้ยงชอบไม่พอ สุขภาพต้องดีด้วย
ที่ผ่านมา Pain point หลักของเจ้าของสัตว์เลี้ยงบางส่วนคือ ยังไม่เข้าใจเรื่องอาหารสัตว์และซื้ออาหารสัตว์แบบเดิมให้หมาแมวของตัวเองตลอด เพราะคิดว่าเขาชอบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาหารสัตว์เลี้ยงจะต้องมีโภชนาการครบถ้วน
“หากเราซื้อแต่อาหารที่มีโภชนาการไม่ครบถ้วนตลอดเวลา สุขภาพของเลี้ยงก็จะไม่สมบูรณ์ ยกตัวอย่างแมว ต้องการไมโครนิวเทรียนท์ (Micronutrient) 44 ตัว เช่น วิตามินบี วิตามินเอ สารอาหารที่ครบถ้วนจะทำให้สุขภาพของแมวยืนยาวขึ้น” พิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว ก่อนเสริมว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ ไอ-เทล ให้ความสำคัญคือการศึกษาหมาแมวว่าเขาต้องการสารอาหารอะไรบ้าง ซึ่งในวงการเรียกว่า Pet Centric หรือใช้สัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง
วิสัยทัศน์ของ ไอ-เทล คือ การทำให้สัตว์เลี้ยงเจริญเติบโตอย่างมีความสุข มีสุขภาพที่สมบูรณ์ที่สุด ทำให้บริษัทผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงจริงๆ
“เราขายของให้สัตว์เลี้ยง ไม่ได้ขายให้คนเลี้ยงสัตว์ หากซื้อไปแล้วสัตว์เลี้ยงไม่กินเขาก็จะไม่กลับมาซื้อใหม่ หรือถ้ากินแต่สุขภาพไม่ดี สัตว์เลี้ยงก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ยืนยาว เพราะฉะนั้นการที่เรารู้ว่าแมวหรือหมาต้องการอะไรนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”
ITC ทุ่มสร้าง Pet Centric ด้วยนวัตกรรม
หลายคนที่เลี้ยงลูกคงเคยอยากแก้ปัญหาที่ว่า อยากจะให้ลูกมีสุขภาพดีแต่ลูกไม่ชอบกินผัก และไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เช่นเดียวกัน สัตว์เลี้ยงก็มีอาหารที่ไม่ชอบถึงแม้จะมีประโยชน์อย่างมาก
“ถ้าเราทำให้ผักรสชาติเหมือนขนมหวานแต่มีประโยชน์เหมือนกินผัก คนก็จะกินผักมากขึ้น เช่นเดียวกันอาหารสัตว์จะต้องมีโภชนาการสมบูรณ์และรสชาติอร่อย”
พิชิตชัย กล่าวต่อว่า นอกจากสารอาหารจะต้องครบทุกหมู่แล้ว ITC ยังศึกษาพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง เช่น แมวเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบดื่มน้ำ ทำให้มีปัญหาโรคไต จึงต้องออกผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อไตของแมว ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือขนม ซึ่งเป็นการบอกกับผู้บริโภคว่าเรามาแก้ปัญหาเรื่องไตของแมว
ซึ่งกว่าจะมาเป็นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ไอ-เทล ต้องใช้ทีมนวัตกรรมมากถึง 4 ทีม ทำงานในมุมที่แตกต่างกัน ก่อนจะมารวมกันเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์สัตว์เลี้ยง
“สิ่งที่สำคัญคือนวัตกรรมเหล่านี้เรามีการจดสิทธิบัตรเอาไว้ และยังมีอีกมากกว่า 10 รายการ ที่อยู่ในระหว่างการจดสิทธิบัตร ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้จะทำให้เราล้ำหน้าคู่แข่งไปได้”
และภายในเดือนมิถุนายนนี้ จะเปิดตัวศูนย์พัฒนาอาหารแมวขึ้นมา ชื่อ I-Cattery ภายในศูนย์จะมีแมว 48 ตัวที่เข้ามาชิมอาหารซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยจะใช้หลักวิชาการมาตัดสินว่าอาหารจากชามไหนอร่อยที่สุด ชามไหนที่แมวกินหมดตลอด และออกเป็นเอกสารประกอบการทดสอบ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทั้งในไทย และต่างประเทศ ว่าจะได้สินค้าที่ไม่เพียงแค่ครบคุณค่าทางโภชนาการ แต่สัตว์เลี้ยงยังชอบ
ตลาดสัตว์เลี้ยงโตต่อเนื่อง นำโดยหมาแมว
ปัจจุบันตลาดหมาแมวยังเป็นตลาดสัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถึงแม้จะมี นก ปลา กระต่าย แต่หากเทียบแล้วกลุ่มสัตว์เหล่านี้ยังอยู่ในตลาดที่เล็ก ถึงแม้บางกลุ่มจะมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว
ปี 2022 ที่ผ่านมาตลาดของอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท เติบโตอยู่ที่ประมาณ 10% มากกว่าทั่วโลกที่เติบโต 7%
สำหรับสำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดไทยโตกว่าตลาดโลกนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1 ในช่วงโควิดที่ผ่านมาคนเลี้ยงหมาแมวมากขึ้นเพราะหลายคนทำงานที่บ้าน จึงต้องซื้ออาหารมากขึ้น ข้อที่ 2 คือคนมีความรู้มากขึ้น จึงหันมาซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพหมาแมวมากขึ้น
ด้าน บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC นั้นมียอดขายเป็นอันดับ 2 ของตลาดเอเชีย ส่วนในตลาดโลกติด Top 10 สัดส่วนการขาย 50% อยู่ในทวีปอเมริกา 15% ในยุโรป 35% ในเอเชีย และออสเตรเลีย
“เราเน้นทำตลาดในจุดที่มีการเจริญเติบโตที่สูง สามารถเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน เราใช้นโยบายด้านความยั่งยืนเช่นเดียวกับบริษัทแม่อย่าง บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่เป็นอันดับ 1 ในตลาดทูน่าของโลก อยู่ใน DJSI มา 9 ปีติดต่อกัน และยังได้รางวัลอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอาหารมาถึง 3 ปี” พิชิตชัย กล่าวสรุป