เทรนด์การทำงานแบบไฮบริด “Hybrid working” ยังคงอยู่และเติบโตมากขึ้นถึงแม้จะผ่านช่วงโควิดมา 2 ปีแล้วก็ตาม โดยเฉพาะกับคนรุ่น Gen Z ที่จะเลือกทำงานกับบริษัทที่ยอมให้ทำงานแบบรีโมทสลับกับการเข้าออฟฟิศ ทำให้ Jabra เดินหน้าพัฒนาโซลูชันวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดีมากขึ้น นำ AI เข้ามาช่วยทั้งเรื่องภาพและเสียงมากขึ้น
โฮลเกอร์ ไรซิงเกอร์ รองประธานอาวุโสฝ่ายโซลูชั่นวิดีโอสำหรับองค์กรแบรนด์ จาบร้า(Jabra) กล่าวภายในงาน InfoComm Asia 2024 ที่จัดขึ้นในไทยว่า วันนี้จะเห็นว่าโซลูชันวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มีหลายแบรนด์เข้ามาแข่งขัน เพราะถึงแม้คนจะกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศกันมากขึ้น แต่ส่วนมากยังเป็นการทำงานแบบไฮบริด มีส่วนน้อยที่เป็น WFH อย่างเดียว ขณะที่ตลาดเอเชียมีคนรุ่นใหม่มากขึ้น ทำให้แนวโน้มการเติบโตในการใช้โซลูชันสูงขึ้นตามไปด้วย หากดูตัวเลขในอาเซียนจะพบว่า Jabra มีอัตราการเติบโตด้านยอดขายเพิ่มขึ้น 70% ซึ่งคาดว่าจะยังเติบโตต่อไปในอนาคต
“ช่วงแรกที่คนเริ่มใช้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในช่วงโควิดหลายคนอายที่จะเปิดกล้อง แต่ปัจจุบันคนกล้าเปิดกล้องมากขึ้น โดยคนรุ่นใหม่ๆ ชื่นชอบกับการทำงานที่ไหนก็ได้ และยินดีจะเปิดกล้อง” โฮลเกอร์ กล่าว
โฮลเกอร์ กล่าวต่อว่า บริษัทจากต่างประเทศที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย บริษัทไทยที่ต้องการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าต่างประเทศ หลายบริษัทใช้โซลูชันของ Jabra รวมถึงภาคการศึกษาและภาครัฐ ก็หันมาใช้วิดีโอคอนเฟอเรนซ์กันมากขึ้น ทำให้ Jabra เดินหน้าพัฒนา AI เข้ามาช่วยสร้างประสบการณ์ผู้ใช้มากขึ้น
สำหรับ Jabra PanaCast 50 intelligent video bar เป็นระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์รุ่นแรกที่ได้รับการรับรองการใช้งานฟังก์ชัน Microsoft Intelligent Speaker ช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนพูดและพูดว่าอย่างไรในห้องประชุม และสามารถระบุชื่อผู้พูดในบันทึกการประชุมได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครื่องมือที่ใช้ AI เช่น Intelligent Meeting Recap และ Copilot ของ Microsoft Teams ในขณะที่ฟังก์ชัน Intelligent Speaker ของ PanaCast 50 ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการถอดข้อความและให้ข้อมูลที่ถูกต้องยิ่งขึ้นสำหรับ Intelligent Meeting Recap และ Copilot
ด้าน Jabra PanaCast 50 Video Bar System (VBS) เป็นโซลูชันการประชุมด้วยโหมด Bring-Your-Own-Device (BYOD) ที่ให้ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมการประชุมบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้ผ่านแล็ปท็อปของตนเอง เพียงเชื่อมต่อสาย USB เข้ากับ PanaCast 50 Video Bar System (VBS) นอกจากนี้ ฟีเจอร์ใหม่อย่าง Enhanced Noise Suppression จะช่วยแยกเสียงพูดออกจากเสียงรบกวนได้อย่างชาญฉลาด เช่น เสียงพิมพ์และเสียงกระดาษ เป็นต้น อีกทั้งยังส่งมอบเสียงคุณภาพสูงให้กับผู้เข้าร่วมประชุมทางไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เทคโนโลยีของ Jabra คือการนำ AI เข้ามารวมกล้อง 3 ตัว และแสดงผลออกมาเป็นภาพเดียวได้ มีระบบจดจำใบหน้า ด้านเสียง ระบบจะจดจำเสียงของผู้พูดได้ รวมถึงตรวจจับเสียงให้โฟกัสที่เสียงคนพูด ถึงแม้จะมีเสียงรอบข้างรบกวน ซึ่งในขั้นต่อไปจะสามารถทำรายงานการประชุมได้ นอกจากนี้ AI ยังสามารถเรียนรู้สภาพแวดล้อมของห้องที่เราไปติดตั้งระบบ และทำให้การทำงานของกล้องและเสียงดีขึ้นในการใช้ครั้งต่อๆ ไปได้อีกด้วย” โฮลเกอร์ กล่าว
นอกจากนี้ยังมี Jabra+ เป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์บนคลาวด์ที่เน้น API โดยได้รับการออกแบบมาสำหรับการตรวจสอบและจัดการโซลูชันห้องประชุมจากระยะไกล ช่วยให้ผู้ดูแลระบบและผู้ใช้สามารถตรวจสอบและจัดการโซลูชันห้องประชุมทั้งหมดของ Jabra ได้ พร้อมด้วยภาพรวมที่ชัดเจนของห้อง สถานที่ และอุปกรณ์ต่าง ๆ
ด้าน สถาพร สัมภวะผล ผู้จัดการประจำประเทศไทยและภูมิภาคอินโดจีนแบรนด์จาบร้า(Jabra) กล่าวว่า “ภายในงาน InfoComm Asia 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 17-19 กรกฎาคมนี้ จาบร้าภูมิใจนำเสนอ PanaCast 50 intelligent video bar และ PanaCast 50 Video Bar System (VBS) ที่มาพร้อมกับระบบห้องประชุมอัจฉริยะครบวงจร นอกจากนี้ยังเปิดตัวบริการ Jabra Warranty+ ที่ขยายการคุ้มครองอุปกรณ์สูงสุดถึง 5 ปี เพื่อให้ผู้ใช้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดย Warranty+ มีให้บริการในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม”
–Roddonjai เปิดตัวบริการ “ผู้ช่วยลงขายรถ” ช่วยปิดการขายรถบ้านได้ไวขึ้น