LET เปิดแผนเจาะตลาด B2B และ B2C ตั้งเป้าสร้าง Sustainability Recurring Revenue ภายใน 3 ปี

LET เปิดแผนเจาะตลาด B2B และ B2C ตั้งเป้าสร้าง Sustainability Recurring Revenue ภายใน 3 ปี

ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี (LET) เปิดแผนธุรกิจปี 66 ผ่านแนวคิด “The Future of LET” ดึงเทคโนโลยีด้านระบบรักษาความปลอดภัยระดับเมืองย่อส่วนสู่องค์กรและบ้านเรือน ประกาศทรานส์ฟอร์ม พร้อมจับมือพันธมิตร ลุยตลาด B2B และ B2C หวังเพิ่มสัดส่วนยอดขายนอกเหนือจากตลาด B2G ตั้งเป้าสร้างรายได้ประจำที่อย่างยั่งยืน (Sustainability Recurring Revenue) ภายใน 3 ปี

ยุทธพร จิตตเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (LET) เผยว่า LET เป็นบริษัทลูกถือหุ้นโดย บมจ.ล็อกซเล่ย์ 80% ดำเนินธุรกิจด้านบริการเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยระดับเมือง (Public Safety) มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นองค์กรภาครัฐ ถึงแม้ที่ผ่านมา LET จะมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดทุกปี แต่รายได้เกือบทั้งหมดมาจากงานประมูลภาครัฐ (B2G) ซึ่งมีความผันผวนสูงทั้งในแง่โอกาสและรายได้

ปีที่ผ่านมา LET มีรายได้ประมาณ 500 ล้านบาท มาจากงานประมูลภาครัฐ และบริษัทขนาดขนาดใหญ่อย่าง AOT เป็นหลัก ดังนั้น LET จึงมองหาโอกาสทางการตลาดในช่องทางอื่นเพิ่มเติม คือกลุ่มลูกค้าองค์กรเอกชน และลูกค้าครัวเรือนทั่วไป จึงปรับแผนการดำเนินธุรกิจ พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ภายใต้กลยุทธ์ “The Future of LET” โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลสัดส่วนที่มาของรายได้จากเดิมที่มาจาก B2G มากกว่า 90% ให้กลายเป็นสัดส่วนรายได้จาก B2G เดิม 60% และเพิ่มสัดส่วนรายได้ใหม่จาก B2B และ B2C ให้ได้ 40% ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า

AIS เผยผลประกอบการไตรมาสแรก กำไรสุทธิ 6,757 ล้านบาท

“ปัจจุบันตลาด B2B และ B2C มีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท เราเชื่อว่าในปีแรกเราจะชิงส่วนแบ่งได้ประมาณ 3% หรือประมาณ 60 ล้านบาท และหากใน 3 ปี เราเติบโตได้ 12% เราจะมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 220 ล้านบาท แต่แผนธุรกิจของเราวางไว้ 5 ปี หากมีส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 22% จะทำให้เรามีรายได้ถึง 440 ล้านบาทต่อปี ถึงเมื่อรวมกับงานประมูลภาครัฐเราจะมีรายได้ถึง 1,000 ล้านบาทต่อปี”

ยุทธพร กล่าวต่อว่า ตลาดนี้จะโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ลูกค้าจำเป็นต้องใช้สินค้าใหม่ๆ เมื่อใช้แล้วจะเลิกไม่ได้ สำหรับแผนธุรกิจของ LET จะไม่เน้นการขายผลิตภัณฑ์ แต่จะขายเป็นบริการ เข้าไปประเมินว่าลูกค้าต้องติดตั้งอะไรบ้าง และลงทุนเทคโนโลยีให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้า โดยเก็บค่าบริการเป็นรายเดือน

LET เปิดแผนเจาะตลาด B2B และ B2C ตั้งเป้าสร้าง Sustainability Recurring Revenue ภายใน 3 ปี

สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่จะเกิดขึ้นจากกลยุทธ์ “The Future of LET” ได้แก่

  1. เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยสำหรับที่พักอาศัย (Residence Security)
    เป็นบริการระบบรักษาความปลอดภัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Security & Digital Lifestyle” โดยย่อส่วนจากงานด้านความมั่นคงเพื่อความปลอดภัยระดับเมืองและเขตชุมชนขนาดใหญ่ (Public Safety) มาสู่ “LET Care” ที่เป็นระบบความปลอดภัยสำหรับที่พักอาศัยแนวราบและแนวดิ่ง เช่น บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หมู่บ้าน และคอนโดมิเนียม ที่ต้องการระบบรักษาความปลอดภัย ที่เหนือกว่าการแจ้งเตือนผู้บุกรุกหรือดูไลฟ์วิดีโอผ่านสมาร์ทโฟน เพราะ “LET Care” สามารถตรวจจับความผิดปกติ ทั้งความร้อน อุณหภูมิ กลุ่มควันภายในที่พัก รวมถึงสามารถควบคุมแสงสว่าง เปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในพื้นที่อยู่อาศัย พร้อมส่งสัญญาณฉุกเฉินแจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหากเกิดเหตุ อีกทั้งมีทีมตรวจสอบความปลอดภัยเฝ้าระวังผ่านศูนย์ควบคุมและสั่งการ (Command & Control Center :CCC) ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง
  2. เทคโนโลยีป้องกันการโจรกรรมข้อมูลทางไซเบอร์ (Cyber Shield)
    LET ตระหนักถึงปัญหาด้านการโจรกรรมข้อมูลทางธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงจับมือกับ คลาวด์เซค เอเซีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันภัยไซเบอร์ ร่วมกันให้บริการโซลูชันส์เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูลทางไซเบอร์แก่ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) อาทิ สถานพยาบาลขนาดเล็ก (คลินิค) ศูนย์บริการรถยนต์ โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม โรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ โดยให้บริการเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านห้อง CCC เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการ อีกทั้งระบบ Cyber Security ของ LET สามารถนำไปควบรวมกับการจัดทำนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ของแต่ละองค์กรได้ด้วย นอกจากนี้ LET ยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเมืองไทยประกันภัย ที่พร้อมจะออกกรรมธรรม์ประกันภัยให้กับผู้ใช้ระบบ Cyber Shield ในมูลค่า 50 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อยกระดับการป้องกันโจรกรรมทางด้านCyber ให้เชื่อถือได้สูงสุด สำหรับลูกค้า ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ Cyber Shield
  3. เทคโนโลยีดูแลและช่วยเหลือสังคมผู้สูงอายุ (Residence Elderly Ward)
    เป็นบริการที่รองรับการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย (Aged Society) ของประเทศไทย ที่กำลังขยับขึ้นเป็นสังคมสูงอายุขั้นสุดยอด (Hyper Aged Society) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยบริการ Residence Elderly Ward เป็นการบูรณาการระบบการเฝ้าระวังเชื่อมกับ 3 อุปกรณ์หลักที่ LET วิจัยและพัฒนาร่วมกับ ซีที เอเซีย โรโบติกส์ นานกว่า 2 ปี ได้แก่ 1. “น้องปกป้อง” หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุที่สื่อสารได้แบบ 2 ทาง (2 way communication) 2.Technology For Aging Society หรือสร้อยคอตรวจจับความเคลื่อนไหว และ 3.สมาร์ทวอทช์ โดยอุปกรณ์ทั้งหมดเชื่อมต่อเข้ากับ “LET Care” เพื่อเสริมการดูแลพร้อมแจ้งเตือนและช่วยเหลือผู้สูงอายุกรณีฉุกเฉิน เช่น เกิดการลื่นล้ม เป็นลมหมดสติจากโรคประจำตัว หรือแม้กระทั่งตรวจจับการออกนอกพื้นที่พักอาศัยในระยะที่จำกัดไว้ ผ่านอุปกรณ์ที่สามารถโต้ตอบสื่อสารเพื่อขอความช่วยเหลือกับปลายทาง หรือทีม CCC ของ LET ได้ตลอด 7 วัน 24 ชั่วโมง
  4. เทคโนโลยีไร้มนุษย์ควบคุม (Unmaned Services)
    เป็นบริการที่ LET นำหุ่นยนต์ 2 ประเภทมาให้บริการ คือ 1. “น้องปกป้อง” เป็นหุ่นยนต์ตรวจการณ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยเสริมงานด้านรักษาความปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่สม่ำเสมอ โดยมีกล้องตรวจจับที่ถ่ายวิดีโอส่งไปยังเจ้าหน้าที่ และสามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ผ่านหุ่นยนต์เพื่อขอความช่วยเหลือ จึงทำให้หน่วยงาน หรืออาคารสำนักงาน ได้รับความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น 2. “น้องจริงใจ” ขยันส่ง เป็นหุ่นยนต์ส่งเอกสารหรือสิ่งของภายในอาคารได้ตามที่กำหนด ออกแบบมาให้ใช้งานภายในอาคาร หรือสำนักงานที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ อาทิ โรงพยาบาล โรงงาน หรือสำนักงานออฟฟิศ โดยหุ่นยนต์ทั้งสองประเภท จะทำงานประสานกับระบบควบคุมกลางผ่านห้อง CCC จึงทำให้ผู้ควบคุมทราบสถานะและตำแหน่งของหุ่นยนต์ได้แบบเรียลไทม์
LET เปิดแผนเจาะตลาด B2B และ B2C ตั้งเป้าสร้าง Sustainability Recurring Revenue ภายใน 3 ปี

“ในปี 2566 เราจะเริ่มทำตลาดด้วยการสร้างการรับรู้ผ่านโซเชียลมีเดีย และร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และระบบเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยที่ LET ให้บริการ ขณะเดียวกันเรายังร่วมมือกับพันธมิตรออกบูธในงานจัดแสดงเทคโนโลยีด้านรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำสร้างความน่าเชื่อถือและแต้มต่อทางธุรกิจ พร้อมเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันในปีหน้า ซึ่ง LET ตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้ากลุ่ม B2B และ B2C รวมกันไม่น้อยกว่า 300 ราย ภายในสิ้นปีหน้า” ยุทธพร กล่าว

Scroll to Top