บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ประกาศผลกำไรสุทธิปี 2567 ที่เติบโตขึ้นถึง 43% คิดเป็นมูลค่า 7,750 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา โดยความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในทุกภาคส่วนธุรกิจ ความต้องการเดินทางทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถานะทางการเงินที่มั่นคงแข็งแรง สำหรับปี 2568 คาดว่าธุรกิจโรงแรมยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างประเทศ
ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT กล่าวถึงความสำเร็จของบริษัทว่า “ผลการดำเนินงานที่เป็นประวัติการณ์ของ MINT ตอกย้ำถึงความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจและการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ของเรา ด้วยงบแสดงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เราพร้อมที่จะเร่งการเติบโตในปี 2568 และในอนาคต เราจะยังคงใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลก ขยายโมเดลธุรกิจ Asset-light Model และขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารของเราต่อไป เราจะมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบผลกำไรที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวขณะที่เราขยายฐานการดำเนินงานไปทั่วโลก”
ธุรกิจโรงแรมเติบโตก้าวกระโดด
ธุรกิจโรงแรมของ MINT ยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการเดินทางระหว่างประเทศ และกลยุทธ์การดำเนินงานที่เฉียบคมในตลาดสำคัญทั่วโลก
- ยุโรปและอเมริกา: รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาห้องพักที่สูงขึ้น 6% ซึ่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสมและการเดินทางในภูมิภาคที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีการเติบโตโดดเด่น ได้แก่ สเปน ยุโรปกลาง เบเนลักซ์ และอิตาลี
- ประเทศไทย: รายได้เฉลี่ยต่อห้องพักพุ่งสูงขึ้นถึง 17% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ การขยายเส้นทางการบิน และกลยุทธ์การขายที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มนักเดินทางที่มีคุณภาพจากสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย
นอกจากนี้ MINT ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ได้เปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่ง รวมห้องพักกว่า 3,000 ห้อง ภายใต้โมเดลธุรกิจแบบ Asset-light ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงในการลงทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ การเปิดตัวโรงแรมใหม่ที่สำคัญ ได้แก่ โรงแรม NH Collection Helsinki Grand Hansa ในฟินแลนด์ โรงแรม Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur Hotel ในอินเดีย ซึ่งเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ MINT ในตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง
ธุรกิจร้านอาหารยอดขายในไทยโต 8%
ไมเนอร์ ฟู้ด ยังคงสร้างผลงานที่น่าประทับใจ โดยมียอดขายรวมทุกสาขาในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 8% และในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 12% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของยอดขายต่อร้านเดิมและจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น
ความสำเร็จของไมเนอร์ ฟู้ด มาจากความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมและแนวคิดใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เช่น การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “สเต็ก แอนด์ มอร์” ในประเทศไทย และ “แบทเทอร์แคช” ในสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า
นอกจากนี้ ไมเนอร์ ฟู้ด ยังได้เร่งการขยายธุรกิจด้วยโมเดล Asset-light ผ่านการขายแฟรนไชส์แบรนด์ดังระดับโลก เช่น เบนิฮานา ซิซซ์เล่อร์ และกาก้า ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเติบโตและขยายฐานลูกค้า
ฐานะทางการเงินยังแกร่ง
MINT ให้ความสำคัญกับการรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ซึ่งส่งผลให้ภาระหนี้สินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจาก 1.0 เท่าในปี 2566 เหลือ 0.8 เท่าในปี 2567 และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมลดลงจาก 4.9 เท่าเหลือ 4.3 เท่า
การลดภาระหนี้สินลง 1 หมื่นล้านบาทในปี 2567 ช่วยเพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และเพิ่มศักยภาพในการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่มีผลตอบแทนสูง
สำหรับเงินลงทุนในปีนี้ มีแผนจะใช้ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท
คาดปี 68 ท่องเที่ยวยังหนุนการเติบโต
MINT คาดการณ์ว่าปี 2568 จะเป็นอีกปีที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่จะได้รับประโยชน์จากการเป็นสถานที่ถ่ายทำซีรีส์ชื่อดัง “The White Lotus” ซีซั่น 3 ที่ถ่ายทำที่โรงแรมในเครือไมเนอร์ ซึ่งจะช่วยหนุนให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางพรีเมียม
นอกจากนี้ MINT ยังมีแผนที่จะเปิดโรงแรมใหม่ในสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ตลอดจนการขยายธุรกิจร้านอาหารผ่านนวัตกรรมของแบรนด์ การปรับรูปแบบร้านค้า และการขยายแฟรนไชส์
MINT ได้วางแผนกลยุทธ์สำหรับปี 2567-2570 โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตที่ชัดเจน ได้แก่
- อัตราการเติบโตของรายได้ต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ 6-8%
- การเติบโตของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่ 15-20%
- อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนมากกว่า 12%
- การขยายกลุ่มธุรกิจทั่วโลกสู่โรงแรม 850 แห่งและร้านอาหาร 4,000 แห่งภายในปี 2570
–Grab ประกาศแต่งตั้ง “จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม” ขึ้นแท่นกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่