Business

ไทยยูเนี่ยน โกยกำไรสุทธิไตรมาส 3 ทะลุ 1.4 พันล้านบาทพร้อมสร้างสถิติทำอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดที่ 19.5%

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2567 ด้วยอัตรากำไรสุทธิที่ 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้วในไตรมาส 3 ปี 2566 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นแตะระดับสูงสุดที่ 19.5% จากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรต่อหุ้นปรับตัวแข็งแกร่งถึง 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็น 0.30 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้นใน 3 ธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋อง กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ

เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตในไตรมาส 3 ปีนี้เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า ไทยยูเนี่ยนสามารถทำผลงานได้อย่างดี โดยมียอดขายอยู่ที่ 34,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% โดยเป็นผลจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ ขณะที่ปริมาณการขายยังขยายตัวแข็งแกร่งถึง 10.4% จากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และกลุ่มธุรกิจสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถทำอัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวสูงสุดที่ 19.5% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเหนือระดับ 30% ต่อเนื่อง 2 ไตรมาส ซึ่งเป็นผลมาจากการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง ขณะเดียวกัน อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารทะเลแช่แข็งก็ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเช่นกัน

นอกจากนี้ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ไทยยูเนี่ยนจะแถลงข่าวเปิดตัวกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 มุ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก สร้างคลื่นลูกใหม่ของการเติบโต พร้อมเปิดน่านน้ำใหม่สู่ความสำเร็จในอนาคต ผ่านสองโปรเจกต์ ได้แก่ โปรเจกต์ Sonar ที่มุ่งวางรากฐานให้แข็งแกร่ง และโปรเจกต์ Tailwind ที่มุ่งเร่งการเติบโตในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง โดยทั้งสองโปรเจกต์จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคตให้กับบริษัท

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสสามปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่ 0.79 เท่า โดยปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสสองที่ 0.82 เท่า ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 3.59 เท่า ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมและความสามารถในการปรับตัวของไทยยูเนี่ยนในการแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคงอันดับความน่าเชื่อถือจากทริส เรทติ้ง ที่ระดับ “A+” อีกด้วย

“การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจ นำไปสู่ผลการดำเนินงานที่ดีในไตรมาสที่ผ่านมา และเรายังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 หรือ Strategy 2030 ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวของเรา ที่จะช่วยให้เรามั่นใจว่าจะเดินหน้าสร้างมูลค่าและก้าวสู่การเป็นผู้นำของโลกในอุุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุุขภาพจากท้องทะเล” ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าว

จากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของความต้องการซื้อในไตรมาส 3 ส่งผลให้ยอดขายกลุ่มสินค้าอาหารทะเลแปรรูป อยู่ที่ 17,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ประกอบกับปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นควบคู่กับสถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป เพิ่มขึ้นเป็น 20.1% ขณะที่ยอดขายกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง อยู่ที่ 4,352 ล้านบาท หรือเติบโต 15.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเป็นผลจากกลยุทธ์เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าพรีเมียม รวมถึงปริมาณความต้องการสินค้าอย่างต่อเนื่องในตลาดหลัก เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา และแคนาดา ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวดีถึง 30.6% ส่วนกลุ่มสินค้าเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ทำยอดขายได้ 2,732 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเติบโตจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ สินค้าเพิ่มมูลค่า และผลิตภัณฑ์พลอยได้

ในทางกลับกันแม้ว่าธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งจะปรับตัวลดลง 15.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากกำลังซื้อที่ชะลอตัวในสหรัฐอเมริกา แต่อัตรากำไรขั้นต้นยังคงอยู่ที่ 12% อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำและสัตว์บกของไทยยูเนี่ยน ที่อยู่ภายใต้ธุรกิจอาหารแช่แข็งได้มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาสที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายได้ 1,390 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตถึง 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของอาหารกุ้งในประเทศอินโดนีเซีย ส่งผลให้ธุรกิจอาหารสัตว์มีอัตรากำไรขั้นต้นถึง 19.2% สะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์การเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีความสามารถในการทำกำไรให้มากขึ้น

ทั้งนี้ สัดส่วนยอดขายของไทยยูเนี่ยนตามภูมิภาคในไตรมาส 3 ปี 2567 มาจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา คิดเป็น 38.3% ของรายได้รวมทั้งหมด รองลงมาเป็น ยุโรป 29.3% ประเทศไทย 11.5% และอื่น ๆ อีก 20.9%

นอกจากผลประกอบการที่ดีแล้ว ไทยยูเนี่ยนยังมีนวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในอนาคต ล่าสุดเราได้เปิดศูนย์นวัตกรรม Innovation Hub อย่างเป็นทางการ ณ เมืองวาเกนิงเงน ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อขยายเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลกของบริษัทให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่นี้ มีนักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คน มุ่งเน้นไปที่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สำหรับแบรนด์อาหารทะเลแปรรูปของกลุ่มบริษัท

“เราไม่ได้มุ่งเพียงแค่การเติบโต แต่การเดินหน้ากลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ภายใต้คอนเซปต์ Turning the Tides ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 คือการสร้างรากฐานเพื่อธุรกิจในระยะยาวเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล เราเชื่อมั่นว่าความตั้งใจและความมุ่งมั่นในครั้งนี้จะสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่ม นับเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมและยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของเราไปทั่วโลก” ธีรพงศ์ กล่าว

DevRev จับมือ Allable เพื่อออกแบบเทคโนโลยี SaaS 2.0 บนแพลตฟอร์ม AI-Native

supersab

Recent Posts

AIS-True เปิดฉากระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast ทั่วไทย พร้อมปฏิบัติการทันทีเมื่อรัฐบาลสั่งการ

AIS และ True Corporation สองผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ ได้ประกาศความพร้อมในการเปิดใช้งานระบบแจ้งเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast และ SMS ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมปฏิบัติการทันทีเมื่อหน่วยงานภาครัฐสั่งการ AIS: ระบบ Cell…

7 hours ago

ดีพร้อม-บางจากฯ ผนึก 5 พันธมิตรธุรกิจ ผลิต “น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน” 1 ล้านลิตรต่อวัน ดันไทยสู่ฮับการบินพลังงานสะอาด ชิงความได้เปรียบเศรษฐกิจโลก

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ จับมือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ 5 องค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่ของประเทศ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU)…

9 hours ago

ก.อุตฯ ผนึก World Bank เปิดเกมรุก “Industrial Decarbonization” ดันไทยสู่ Hub ลงทุนสีเขียว

“เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เปิดเวที CEO Forum ชูแนวทาง Industrial Decarbonization ภายใต้โครงการ Low Carbon City หนุนผู้ประกอบการไทยลดคาร์บอน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมลดก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน…

12 hours ago

Tops เขย่าตลาด FMCG ปี 68 ทุ่ม 5,000 รายการ Own Brand ชูคุณภาพพรีเมียม ราคาโดนใจ ผนึกชุมชนโกอินเตอร์

ท็อปส์ (Tops) ประกาศศักดาผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ปี 2568 ทุ่มงบไม่อั้น พัฒนาพอร์ตสินค้า Own Brand ทะลุ 5,000 รายการ ชูจุดแข็งด้านคุณภาพระดับพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงได้…

13 hours ago

รฟม. แจ้งรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู เปิดให้บริการเดินรถ สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) – สถานีตลาดมีนบุรี (PK29) และจัด Feeder รับ – ส่ง สถานีตลาดมีนบุรี (PK29) – สถานีมีนบุรี (PK30)

ตามที่ เกิดเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมา โดยแรงสั่นสะเทือนได้ส่งผลกระทบมาถึงกรุงเทพมหานคร ทำให้รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู (MRT สายสีชมพู) ต้องงดให้บริการชั่วคราว เพื่อแก้ไขรางจ่ายไฟเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถ นั้น จากการตรวจสอบพบว่าเกิดความเสียหายที่แผ่นปิดรอยต่อคานทางวิ่ง จำเป็นต้องซ่อมแซม ซึ่ง กระทรวงคมนาคม, กรมการขนส่งทางราง…

14 hours ago

“แสตมป์ กระจกเกรียบ” ศิลปะล้ำค่าแห่งสยาม ไปรษณีย์ไทยเปิดตัวแสตมป์ที่ระลึก วันอนุรักษ์มรดกไทย 2568 ดันไทยสู่สายตาโลก

ไปรษณีย์ไทย ได้เปิดตัวแสตมป์ที่ระลึกชุดพิเศษเนื่องในโอกาสวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช 2568 ด้วยการนำเสนอศิลปกรรมอันทรงคุณค่าที่กำลังจะเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ "กระจกเกรียบ" ศิลปะแห่งสยามประเทศที่มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์แต่กลับหาชมได้ยากยิ่งในปัจจุบัน โดยมีกำหนดการเปิดจำหน่ายทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2568 เป็นต้นไป ในราคาดวงละ…

14 hours ago

This website uses cookies.