VST ECS (Thailand) คาดการณ์ปี 2022 นี้ จะเติบโตอยู่ที่ 12% พร้อมมองปีหน้ายังเติบโตได้ แต่อาจโตไม่เกิน 10% จากผลกระทบด้านเศรษฐกิจทั่วโลก พร้อมเผยปี 2023 เดินหน้าธุรกิจ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า (EV Bike) ตั้งเป้าขายได้ 3,000 คัน
สมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากที่ได้ไปร่วมงาน VMware ที่สิงคโปร์ คาดการณ์ว่า 2 ปีหลังโควิด องค์กรทั่วโลกจะใช้จ่ายด้านไอทีสูงขึ้นประมาณ 25% หรือประมาณ 5 เท่า เพราะหลายองค์กรเดินหน้าทำ Digital Transformation ต่อเนื่อง เพื่อรองรับการทำงานแบบ Hybrid ต้องการเครือข่ายที่รองรับการทำงานได้ มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตี อัปเกรดระบบ ERP รวมไปถึงรองรับระบบ Online Conference มากขึ้น
“องค์กรต้องเตรียมความพร้อมมากขึ้น เพื่อไม่ให้ระบบ IT มีปัญหาจากการที่ผู้ใช้งานจำนวนมากเข้ามาในระบบในเวลาเดียวกัน”
–J Ventures ปักธง ปี 2566 มุ่งสู่ผู้นำด้าน DX ด้วยโซลูชันแบบ End-to-end
สำหรับภาพรวมของ VST ECS (Thailand) ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัท มาจากเอกชนประมาณ 60% และภาครัฐ 40% สมศักดิ์ คาดว่าจะเติบโตไม่เกิน 10% (Single digit) โดยส่วนที่เติบโตน้อยที่สุดคาดว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้ารายย่อย เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนสูงขึ้น อาจจะต้องรอพึ่งพานโยบายจากภาครัฐเข้ามาช่วย ด้านองค์กรขนาดใหญ่ คาดว่าเอกชนยังลงทุนกันต่อ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละบริษัท ขณะที่ภาครัฐ ปัจจุบันมีโครงการที่นำเสนอค้างอยู่ หากไม่เกิดวิกฤติทางการเมืองคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
สำหรับหน่วยงานที่ต้องการสินค้าไอทีมากขึ้นในปีหน้าจะมีทั้ง หน่วยงานราชการ การศึกษา โรงพยาบาล และเอกชนทั่วไป เนื่องจากมีการทำ Digital Transformation
“เราหวังว่าปีหน้าจะโตขึ้นเป็น 20-25% ของยอดขายโดยรวม ซึ่งเรามีแผนขยายทีมขายของคอนซูเมอร์และเอนเตอร์ไพรส์มากขึ้น”
เดินหน้าขยายสินค้าใหม่ รุก EV Bike เต็มสูบ
สำหรับแผนเร่งการเติบโตทั้งในด้านลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กรในปีหน้านั้น VST ECS มองการนำสินค้าที่มีความต้องการสูงเข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า (EV Bike)
สมศักดิ์ กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทมีแผนนำสินค้าใหม่ เช่น ระบบเน็ตเวิร์ค CCTV ราคาย่อมเยาเข้ามาทำตลาดเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้น มีสินค้าในกลุ่มเน็ตเวิร์ค low-end จากจีนเข้ามาเพิ่ม เพื่อเจาะตลาด SMEs ระดับล่างมากขึ้น และอีกสินค้าที่เตรียมความพร้อมมาปีกว่าแล้ว คือ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า (EV Bike) คาดว่าปีหน้าน่าจะเป็นปีทองของมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า
ปัจจุบัน VST ECS (Thailand) จำหน่ายอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ Kavallo และ Super Soco เป็นเทคโนโลยีของออสเตรเลีย ที่นำมาผลิตในไทย เน้นขายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เน้นทำ Green Environment และตามร้านขายมอเตอร์ไซค์ทั่วไป โดยจะแต่งตั้งตัวแทนขายทั่วประเทศ
“ปีนี้ขายได้ประมาณ 500 คัน ปีหน้าตั้งเป้าที่ 3,000 คัน จากส่วนแบ่งตลาดมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า (EV Bike) ในไทยประมาณ 6,000 คัน นอกจากนี้ยังมีแผนจะเปิดศูนย์บริการที่แถวถนนร่มเกล้า และทยอยกระจายไปอีก 10 จังหวัด เพื่อให้ลูกค้ามีความมั่นใจ เพราะศูนย์บริการของเราจะมีอะไหล่ให้ครบทุกชิ้นพร้อมเสมอ เรามีสถาบันการเงินมาช่วยรองรับให้ลูกค้าที่ซื้อจากเราสามารถซื้อผ่อนได้ คือ กรุงศรีออโต้ และ KBank สามารถเสียภาษี จดทะเบียนวิ่งบนท้องถนนได้ ทำประกันภัยได้ตามปกติ”
สำหรับอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงที่บริษัทจัดจำหน่าย มียี่ห้อ Petoneer, Petwant , Pawbo, Meet, Petkit ปัจจุบันขายได้เรื่อยๆ ตัวเลขไม่ได้โตมาก ซึ่งบริษัทเลือกจะขายเพื่อเป็นการเปิดช่องทางใหม่ๆ รองรับไว้เช่นเดียวกับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า โดยมองว่าเป็นโอกาสใหม่ๆ ของร้านค้าไอทีในอนาคตที่สามารถรับสินค้าเหล่านี้มาขายได้ด้วยเช่นกัน
และอีกหนึ่งธุรกิจใหม่ที่จะเริ่มในปีหน้า คือ โซลาร์เซลล์ (Solar Cell) โดยจะขายตัว Inverter ของ Huawei ที่ผลตอบรับค่อนข้างดี คนเริ่มมาใช้กันเยอะ เช่น โครงการของหมู่บ้านต่างๆ หันมาติด Solar Roof พร้อม Inverter ทำให้บริษัทเห็นช่องทาง และพร้อมตั้งทีมงานเพื่อขยายธุรกิจมากขึ้น
ตลาด CLMV ยังไปได้ ไม่กังวลปัญหาขาดแคลนสินค้า
ปัจจุบัน VST ECS (Thailand) ดูแลรับผิดชอบสำนักงานสาขาที่ CLMV คือ กัมพูชา ลาว เมียนมา ขายเฉพาะสินค้าเอนเตอร์ไพรส์เท่านั้น โดยได้รับสิทธิ์จากเวนเดอร์ให้เป็นผู้ขายใน 3 ประเทศนี้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งสินค้าที่ขายดีมากใน CLMV คือ เน็ตเวิร์ค เช่น Cisco, server, storage, โซลูชันประเภท Hyperconverged และ HCI, Huawei Enterprise เนื่องจากประเทศเหล่านี้ต้องการสินค้าไปเพื่อปรับปรุงระบบต่างๆ ในประเทศอีกมาก
ในส่วนของเมียนมาหลังจากที่มีการปฏิวัติและส่งผลกับยอดขายไปประมาณ 6 เดือน ก่อนที่ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตดีกว่าที่คาดไว้ และคาดว่าสถานการณ์ปีหน้าจะดีมากขึ้น จึงตัดสินใจว่าปีหน้าจะบุกตลาดเมียนมาอย่างเต็มรูปแบบ
ส่วนที่สาขากัมพูชาถือว่าเป็นหนึ่งประเทศที่ประสบความสำเร็จ มีพนักงานอยู่ 30 กว่าคน ด้านการเติบโตยังดีอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าปีหน้าจะโตได้ถึง 20%
ด้าน สปป.ลาว ถึงแม้จะมีตัวเลขยอดขายไม่มาก แต่มีโปรเจกต์ใหญ่ในลาวเยอะมาก เช่น ของหัวเว่ย และสินค้าเอนเตอร์ไพรส์
สำหรับปัญหาการขาดแคลนสินค้า (Shortage) สมศักดิ์ กล่าวว่า ฝั่งเอนเตอร์ไพรส์ยังมีอยู่ คือ สินค้าประเภทเน็ตเวิร์ค ทั้ง Cisco และ Aruba แต่คิดว่าปัญหานี้น่าจะดีขึ้น เพราะจีนเปลี่ยนนโยบายแล้ว ไม่ปิดโรงงานล็อกดาวน์หากเจอผู้ติดเชื้อโควิด คาดว่าไตรมาส 2 ปี 2023 น่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ
“จากแผนทั้งหมดนี้ ในปีหน้าเรามีแผนการลงทุนระบบไอทีของบริษัทเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 10% เราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับส่วนนี้ เราต้องปรับปรุงตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นคงอยู่ลำบาก นับเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งขององค์กรที่จำเป็นต้องทำ” สมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย