บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2565 ด้วยยอดขายและกำไรสุทธิประจำไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากธุรกิจหลักที่แข็งแกร่งของบริษัท ปัจจัยบวกจากอัตราแลกเปลี่ยน และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ยอดขายระหว่างเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายนสูงสุดอยู่ที่ 40,756 ล้านบาท เติบโต 14.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,530 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า
แม้จะมีแรงกดดันในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ที่ยังส่งผลอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาคที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี ผ่านการเจรจาต่อรองด้านราคากับลูกค้า มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงทั้งในด้านวัตถุดิบหลักและอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ความหลากหลายของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนอัตราการทำกำไรที่สูง ทั้งหมดนี้ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมา สำหรับไตรมาส 3 ปี 2565 ไทยยูเนี่ยนมียอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องอยู่ที่ 16,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากกำลังซื้อที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง
–depa ลุยสานต่อความร่วมมือ MIC ประเทศญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นยังคงที่อยู่ในระดับใกล้เคียงจากปีที่แล้ว อยู่ที่ 14,820 ล้านบาทโดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้ยอดเยี่ยม โดยมียอดขายอยู่ที่ 8,951 ล้านบาท เติบโต 55.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการที่สูง ราคาขายที่เพิ่มขึ้น และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของเราสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการผลักดันอย่างต่อเนื่องให้ธุรกิจของเรามีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเรื่องของนวัตกรรม และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผลการดำเนินงานของเราในวันนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า การที่เราให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักให้แข็งแกร่งไปพร้อมกับขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ที่นำนวัตกรรมเข้ามาพัฒนานั้น สามารถส่งผลบวกต่อธุรกิจท่ามกลางสภาวการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นแรงต้านในธุรกิจได้”
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี ไทยยูเนี่ยนรายงานยอดขายจาก 3 ธุรกิจหลักเป็นสัดส่วนดังต่อไปนี้ ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 42 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น 37 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ 21 เปอร์เซ็นต์ และยอดขายใน 3 ไตรมาสแรกนั้นทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 115,974 ล้านบาท เติบโต 13.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20,338 ล้านบาท เติบโต 8.7 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.5 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าราคาวัตถุดิบหลักมีการปรับราคาขึ้นก็ตาม
บริษัทมีการเตรียมการเพื่อการเติบโตและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างโรงงานใหม่รวม 3 โรง ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมดำเนินงานได้ในปี 2566 ในส่วนนี้มีโรงงาน 2 โรงที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนเปปไทด์ และผลิตอาหารพร้อมทาน นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างห้องเย็นเพื่อจัดเก็บปลาทูน่า พร้อมด้วยโรงบำบัดน้ำเสียในประเทศกาน่า รวมถึงไทยยูเนี่ยนกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและขนมกินเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงในจังหวัดสมุทรสาคร
“ที่ไทยยูเนี่ยน เรามีกลยุทธ์ด้านความหลากหลายของธุรกิจ ที่ครอบคลุมทั้งในด้านของผลิตภัณฑ์และตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจของเราจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถผลิตสินค้าที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ตามเป้าหมายของเราคือ Healthy Living, Healthy Oceans ที่มุ่งมั่นจะสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลทรัพยากรในท้องทะเล” ธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย