กรมชลประทาน จัดงานแถลงข่าว “ความก้าวหน้าโครงการประตูระบายน้ำท่านางงาม จังหวัดพิษณุโลก” โดยมี นายสิริพล รักษนาเวศ ผู้อำนวยการกองพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลางให้เกียรติเป็นประธาน และลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าโครงการ เผยความคืบหน้าการดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สำหรับประตูระบายน้ำ (ปตร.) ท่านางงาม เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทานในเขตจังหวัดพิษณุโลกและพิจิตร ที่ได้ดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำในลุ่มน้ำยมตอนล่างรวม 4 แห่ง ได้แก่ ปตร.ท่านางงาม ปตร.ท่าแห ปตร.วังจิก และปตร.โพธิ์ประทับช้าง ครอบคลุมพื้นที่เกือบ 2 แสนไร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนล่าง บรรเทาความเดือดร้อนทั้งปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง ตลอดจนเตรียมความพร้อมในการรับมือกับผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
–รฟม. ฉลองครบรอบ 7 ปี สายสีม่วง จัด “MRTA Lucky Line สายสีม่วง” มอบโชคจัดเต็ม แก่ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า
สิริพล รักษนาเวศ ผู้อำนวยการกองพัฒนาแหล่งน้ำขนาดกลาง กล่าวว่า “เนื่องจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลกส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าว การพัฒนาแหล่งน้ำจึงเป็นปัจจัยหลักในการจัดหาแหล่งน้ำต้นทุนให้แก่เกษตรกร แต่เนื่องจากสภาพพื้นที่ตอนล่างของแม่น้ำยมซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลัก มีลักษณะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทานจึงวางแผนการก่อสร้างประตูระบายน้ำตลอดช่วงแม่น้ำยมตอนล่างรวม 4 แห่ง ได้แก่ ปตร.ท่านางงาม ปตร.ท่าแห ปตร.วังจิก และปตร.โพธิ์ประทับช้าง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งที่มักจะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี อีกทั้งยังช่วยชะลอน้ำในการผันน้ำเข้าแก้มลิงต่างๆ ในช่วงน้ำหลาก เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยและป้องกันการกัดเซาะตลิ่งบ้านเรือนของราษฎรได้อีกด้วย หากดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำทั้ง 4 โครงการนี้แล้วเสร็จ นับเป็นอีกหนึ่งหลักชัยความสำเร็จของการบริหารจัดการน้ำของกรมชลประทาน ซึ่งมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎรในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ โดยได้กำหนดแผนการก่อสร้างทั้ง 4 โครงการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2568 เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์โดยเร็วที่สุด”
สำหรับโครงการประตูระบายน้ำท่านางงาม ต.ท่านางงาม อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก เป็นประตูระบายน้ำอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กชนิดประตูเหล็กบานโค้งจำนวน 5 บาน สามารถเก็บกักน้ำในแม่น้ำยมและลำน้ำสาขาได้ประมาณ 11.10 ล้าน ลบ.ม. ระยะเวลาในการก่อสร้าง 5 ปี (ปี พ.ศ. 2562 – 2566) ครอบคลุมพื้นที่รับประโยชน์ประมาณ 51,375 ไร่ ประชาชนได้ประโยชน์กว่า 2,568 ครัวเรือน ปัจจุบันดำเนินการเกือบแล้วเสร็จ แต่สามารถใช้ในการบริหารจัดการน้ำได้แล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี พ.ศ. 2566 นี้
“นอกจากนี้ กรมชลประทาน ยังได้วางแผนรับมือปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดความแห้งแล้งและอากาศร้อนจัดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าปรากฏการณ์เอลนีโญจะยืดเยื้อต่อเนื่องและมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นไปจนถึงราวกลางปี พ.ศ. 2567 ฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องวางแผนบริหารจัดการน้ำในระยะยาว เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในกิจกรรมต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด พร้อมกันนี้ ยังได้ให้หน่วยงานท้องถิ่น และภาคประชาชน จัดหาแหล่งเก็บกักน้ำ หรือภาชนะสำหรับเก็บกักน้ำไว้ใช้ในครัวเรือนให้ได้มากที่สุด จนกว่าจะถึงฤดูฝนปีหน้า ที่สำคัญต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัดและเกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดความเสี่ยงต่อปัญหาการขาดแคลนน้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากผลกระทบของปรากฏการณ์เอลนีโญ” สิริพล กล่าวในที่สุด
เซ็นทรัลพัฒนา รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 ทำรายได้รวม 12,284 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,126 ล้านบาท ผนึก 'ฮิลตัน' เปิดตัวโรงแรมใหม่ "ฮิลตัน…
นายธีรยุทธ ศักดิ์วิลาสตระกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มทรัพยากรบุคคล รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานทรัพยากรบุคคลบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT เข้ารับมอบใบรับรอง CAC Certified จาก นายทศพร รัตนมาศทิพย์ กรรมการ CAC ในงาน CAC Certification Ceremony ครั้งที่ 2/2024 ภายใต้แนวคิด…
ไปรษณีย์ไทย เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอีคอมเมิร์ซและการค้าระหว่างประเทศจากไทยสู่เวียดนาม โดยมุ่งใช้ 3 เส้นทางการขนส่งที่สำคัญ ได้แก่ เส้นทางอากาศ เส้นทางภาคพื้น และทางราง พร้อมจับมือการไปรษณีย์เวียดนามพัฒนาบริการไปรษณีย์ภายใต้กรอบความร่วมมือของการไปรษณีย์อาเซียน (ASEANPOST) เดินหน้ายกระดับอีคอมเมิร์ซของทั้ง 2 ประเทศ เตรียมนำสินค้าเมดอินไทยแลนด์และเวียดนาม…
งานวิจัยล่าสุดจากแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวอโกด้าเผยว่า กฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 4 ล้านคนต่อปี และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ภายใน 2 ปีหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ งานวิจัยเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งจัดทำโดยอโกด้าร่วมกับบริษัท Access Partnership ได้ประเมินถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยจะได้รับจากการบังคับใช้กฎหมายสมรสเพศเดียวกันในวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับรองกฎหมายนี้ และเป็นประเทศที่สามในเอเชีย รองจากไต้หวันในปี 2562 และเนปาลเมื่อปีที่แล้ว กฎหมายดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ประเทศไทยดึงดูดนักท่องเที่ยว LGBTQIA+ ทั่วโลก ซึ่งมีมูลค่ากว่า 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี รายงานยังได้คาดการณ์ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จะแพร่กระจายไปสู่เศรษฐกิจไทยในวงกว้างจากการบังคับใช้กฎหมายนี้ โดยคาดว่าใน 2 ปี จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 4 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมากดังนี้ เพิ่มรายรับจากการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยกระจายไปยังหลายภาคส่วน…
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รับการประเมินด้านความยั่งยืนระดับสูงสุดในอุตสาหกรรม Oil & Gas Refinery and Marketing จากการประเมินของ S&P Global…
• ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ ‘ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่’ มาพร้อมราคาแนะนำช่วงเปิดตัว 899,000 บาท* ในรุ่น e:HEV E จำนวนจำกัด เพื่อให้เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น โดยมาพร้อมข้อเสนอรับฟรีประกันภัย…