ธรรมศาสตร์ เตือนเศรษฐกิจปี 68 เสี่ยงต่ำ 2% แนะรัฐรุกเจรจา ขยายตลาดใหม่ รับมือสงครามการค้าโลก

ธรรมศาสตร์ เตือนเศรษฐกิจปี 68 เสี่ยงต่ำ 2% แนะรัฐรุกเจรจา ขยายตลาดใหม่ รับมือสงครามการค้าโลก

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ออกโรงเตือนเศรษฐกิจไทยปี 2568 สุ่มเสี่ยงเผชิญความผันผวนรุนแรงจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปราะบาง โดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กลับมาประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก รวมถึงการเก็บภาษีตอบโต้สินค้าไทยในอัตราสูงถึง 37% สร้างแรงกดดันต่อภาคส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มธ. ชี้ว่า ไทยจำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์เชิงรุกในระดับมหภาคอย่างเร่งด่วน โดยมีแนวทางสำคัญ ได้แก่ การเตรียมเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเปิดนำเข้าสินค้าที่จำเป็นและสหรัฐฯ สนใจ เพื่อลดผลกระทบต่อภาคการผลิตในประเทศให้มากที่สุด การผลักดันการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้นโยบายการคลังที่แม่นยำเพื่อประคองเศรษฐกิจ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านการกระตุ้นการลงทุน การกระจายตลาด และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลลดต้นทุน รวมถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียนและกลุ่ม FTA เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง

นักเศรษฐศาสตร์จากธรรมศาสตร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศใหม่ ๆ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ พร้อมเร่งเจรจา FTA กับคู่ค้าใหม่ ๆ และใช้ประโยชน์จากกรอบความร่วมมืออาเซียนและ RCEP ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันความเสียหายจากความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ยังต้องจับตาสถานการณ์สินค้าจีนทะลักเข้ามาในภูมิภาค ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย หากไม่มีมาตรการควบคุมที่เหมาะสม

รศ.ดร.จุฑาทิพย์ เสนอแนะให้กระทรวงพาณิชย์เร่งประสานความร่วมมือกับทูตพาณิชย์ในต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับคู่ค้าใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพื่อเปิดโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการไทย พร้อมทั้งทำให้ข้อตกลงการค้าที่มีอยู่ถูกใช้อย่างมีประสิทธิผล ผ่านการลดความซ้ำซ้อนของการตรวจสอบสินค้า การลดความซับซ้อนของกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า และการเดินหน้าข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล

ในด้านการลงทุน แม้เม็ดเงินทุนจากต่างชาติมีแนวโน้มชะลอตัว ไทยควรเตรียมพร้อมเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยและเสถียรภาพ โดยสร้างความเชื่อมั่นผ่านนโยบายที่มั่นคงและการพัฒนา 3 เสาหลักเศรษฐกิจ (เกษตรและอาหาร อุตสาหกรรมแห่งอนาคต และภาคบริการ) ควบคู่ไปกับการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง พลังงาน และดิจิทัล รวมถึงการใช้แนวทาง “One Stop Service” ของ BOI ให้มีประสิทธิภาพ และส่งเสริมผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของบรรษัทข้ามชาติ

ท้ายที่สุด รศ.ดร.จุฑาทิพย์ เตือนว่า หากไม่มีมาตรการรับมือและแก้ไขอย่างจริงจัง ฐานการส่งออกของไทยไปยังตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ อาจชะลอตัว ส่งผลให้ GDP ปี 2568 เสี่ยงลดลงต่ำกว่า 2.0% ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ควบคู่ไปกับการกระจายตลาดและเตรียมพร้อมเจรจาการค้ากับคู่ค้าอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก

พาณิชย์ – DITP สางปัญหาส่งออกน้ำตาล! จับคู่ธุรกิจไทย-ฟิลิปปินส์ ดันมูลค่าซื้อขายทะลุ 1.1 พันล้านบาท

Scroll to Top