นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า ปี 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 954 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 227 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 727 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 228,106 ล้านบาท โดยปี 2567 ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
อันดับ 1 ญี่ปุ่น 254 ราย 27% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 121,190 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้บริการทดสอบทางเทคนิคเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องยนต์และการใช้พลังงานของยานยนต์ไฟฟ้าของลูกค้า เป็นต้น
– ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพื่อค้าส่งในประเทศ
– ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม
– ธุรกิจบริการพัฒนาดิจิทัลคอนเทนต์ / พัฒนาซอฟต์แวร์
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า อาทิ แม่พิมพ์ ชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนยานพาหนะ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
อันดับ 2 สิงคโปร์ 137 ราย 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 22,485 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– บริการทางวิศวกรรมและเทคนิคด้านต่างๆ เช่น การออกแบบทางวิศวกรรม และการวางระบบโครงสร้างการผลิต เป็นต้น
– ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ เป็นต้น เพื่อค้าส่งในประเทศ
– ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม
– ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (อาทิ ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ชิ้นส่วนยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์โลหะ บรรจุภัณฑ์พลาสติก)
อันดับ 3 จีน 123 ราย 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 19,547 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจบริการติดตั้ง ทดสอบ ซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบสายพานที่ใช้สำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้า
– ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วน สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น เพื่อค้าส่งในประเทศ
– ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์
– ธุรกิจบริการทำเทคนิคด้านภาพสำหรับภาพยนตร์
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (แม่พิมพ์ แบตเตอรี่ความจุสูง เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานพาหนะ)
อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา 121 ราย 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 24,675 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การติดตั้ง บำรุงรักษา แก้ไข และปรับแต่งเว็บไซต์ เป็นต้น
– ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (อาทิ อาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูป เครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องกล ชิ้นส่วน อุปกรณ์ และอะไหล่ที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม ยา อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์)
– ธุรกิจโฆษณา
– ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า อาทิ พวงมาลัยรถยนต์ ลูกอม ขนมขบเคี้ยว หมากฝรั่ง อาหารสำเร็จรูป Electro Magnetic Product แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
อันดับ 5 ฮ่องกง 69 ราย 7% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 15,281 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
– ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ สิ่งทอ ยานยนต์ และเครื่องกีฬา เป็นต้น เพื่อค้าส่งในประเทศ
– ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบการใช้งานระบบ การซ่อมแซม บำรุงรักษาแผงโซล่าเซลล์
– ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย
– ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์
– ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า อาทิ แม่พิมพ์ อะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนสำหรับผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ชุดแบตเตอรี่ความจุสูง
การเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติในไทยช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมข้างต้น
มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น
องค์ความรู้เกี่ยวกับการขุดเจาะปิโตรเลียม องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ องค์ความรู้เกี่ยวกับการทดสอบคุณภาพของวัตถุดิบสำหรับผลิตชิ้นส่วนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการออกแบบระบบไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในโครงการรถไฟฟ้า เป็นต้น
เมื่อเทียบกับปี 2566 พบว่า ปี 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 287 ราย (43%) (ปี 2567 อนุญาต 954 ราย / ปี 2566 อนุญาต 667 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 100,574 ล้านบาท (79%) (ปี 2567 ลงทุน 228,106 ล้านบาท/ ปี 2566 ลงทุน 127,532 ล้านบาท) ขณะที่มีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวลดลง 1,805 ราย (26%) (ปี 2567 จ้างงาน 5,040 คน / ปี 2566 จ้างงาน 6,845 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนสูงสุดและนำเงินเข้ามาลงทุนสูงสุดทั้งปี 2567 และ 2566 คือ นักลงทุนชาวญี่ปุ่น (ปี 2567 นักลงทุน 254 ราย เงินลงทุน 121,190 ล้านบาท / ปี 2566 นักลงทุน 137 ราย เงินลงทุน 32,148 ล้านบาท)
อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 301 ราย คิดเป็น 32% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 167 ราย (124%) (ปี 2567 ลงทุน 301 ราย / ปี 2566 ลงทุน 134 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 56,490 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 17,877 ล้านบาท (46%) (ปี 2567 เงินลงทุน 56,490 ล้านบาท / ปี 2566 เงินลงทุน 38,613 ล้านบาท) โดยเป็นนักลงทุนจาก *ญี่ปุ่น 103 ราย ลงทุน 20,593 ล้านบาท *จีน 72 ราย ลงทุน 12,107 ล้านบาท *ฮ่องกง 20 ราย ลงทุน 5,698 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 106 ราย ลงทุน 18,092 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุนในพื้นที่ EEC อาทิ
– ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยเป็นการออกแบบทางวิศวกรรมสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์
เฉพาะเดือนธันวาคม 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 70 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 25 ราย และ การขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 45 ราย เงินลงทุนทั้งสิ้น 14,142 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฮ่องกง ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทย 1,369 คน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการ สำหรับขนส่งสินค้าทางอากาศ องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอัดฉีดซีเมนต์นอกชายฝั่ง องค์ความรู้เกี่ยวกับระบบเทเลมาตกส์ (Telematics) และองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำ Digital Advertising เป็นต้น
โค้ก โดยกลุ่มธุรกิจโคคา-โคล่า ในประเทศไทย สร้างความฮือฮาให้กับตลาดเครื่องดื่มอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว "โค้ก" ซีโร่ กลิ่นวานิลลา ความอร่อยใหม่ที่ผสานความซ่าส์อันเป็นเอกลักษณ์ของ "โค้ก" เข้ากับความหอมหวานละมุนละไมของวานิลลาได้อย่างลงตัว ที่สำคัญคือมาในสูตรไม่มีน้ำตาล ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen…
บริษัท ไซโก้ เอปสัน คอร์ปอเรชั่น (Epson) ประกาศแต่งตั้ง โยชิดะ จุนคิชิ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและตัวแทนผู้อำนวยการ (President and Representative Director) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ (Chief…
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) โดย กองสิ่งแวดล้อม ฝ่ายพัฒนาโครงการรถไฟฟ้า ลงพื้นที่ตรวจติดตามการดำเนินงานลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้าง ช่วงเวลากลางคืน การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะ (วงแหวนกาญจนาภิเษก) ตลอดแนวเส้นทางโครงการฯ โดยเริ่มตั้งแต่จุดก่อสร้าง Cut…
LINE MAN ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ Lotus’s และ Lotus’s go fresh ขยายฐานบริการ LINE MAN MART ให้ครอบคลุมกว่า 1,400 สาขาทั่วประเทศ…
พฤกษา ผนึกกำลัง โรงพยาบาลวิมุต มอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพครบวงจรให้ลูกบ้านตลอดปี 2568 ภายใต้แนวคิด "สุขภาพดีเริ่มต้นที่บ้าน" จิตชญา ตู้จินดา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง…
ออเนอร์ (HONOR) ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิป HONOR Magic7 Pro 5G ที่สร้างยอดขายเติบโตสูงถึง 2.4 เท่า นับตั้งแต่เปิดให้พรีออเดอร์เมื่อวันที่ 11-21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568…