ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือเงินเฟ้อทั่วไป เดือนมกราคม 2565 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้นร้อยละ 3.23 (YoY) จากร้อยละ 2.17 ในเดือนก่อนหน้า เงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นในเดือนนี้เป็นเงินเฟ้อระดับปานกลางที่ค่อนข้างต่ำเกือบเป็นเงินเฟ้ออ่อน และหากพิจารณาเงินเฟ้อประเทศคู่ค้าสำคัญและในกลุ่มอาเซียน (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2564) อาทิ สหรัฐอเมริกา สูงขึ้นร้อยละ 7.0 (YoY) สหราชอาณาจักร สูงขึ้นร้อยละ 5.4 (YoY) สิงคโปร์ สูงขึ้นร้อยละ 4.0 (YoY) และฟิลิปปินส์ สูงขึ้นร้อยละ 3.6 (YoY) ดังนั้น เมื่อพิจารณาภาวะเงินเฟ้อของหลายประเทศในสถานการณ์โลกปัจจุบัน เงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อในเดือนนี้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 3.23 (YoY) คือ สินค้าในกลุ่มพลังงาน ที่ได้ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเงินเฟ้อ โดยสินค้ากลุ่มพลังงานสูงขึ้นร้อยละ 19.22 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ
ปี 2564 ดังนั้น สินค้าในกลุ่มพลังงานจึงมีผลต่อการขึ้นของเงินเฟ้อถึงร้อยละ 2.25 เมื่อเทียบกับสินค้าในกลุ่มอาหารสด อาทิ เนื้อสุกร ไก่สด และไข่ไก่ ส่งผลต่อเงินเฟ้อน้อยมาก โดยเนื้อสุกร มีผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.67
ไก่สด มีผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.03 และไข่ไก่ มีผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.05 นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่ปรับราคาสูงขึ้นเล็กน้อยตามต้นทุน (ค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าจ้างแรงงาน ) จึงส่งผลต่อเงินเฟ้อไม่มากนัก อาทิ น้ำมันพืช อาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้าน และค่าบริการส่วนบุคคล นอกจากนี้ จากการที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนมกราคม 2565
เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 3.23 (YoY) เพราะฐานราคาเดือนเดียวกันของปี 2564 ค่อนข้างต่ำ
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า สินค้าในกลุ่มพลังงานส่งผลให้เงินเฟ้อในเดือนนี้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่สินค้า
กลุ่มอาหารยังไม่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ปรับลดลง อาทิ ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า ผักสด ผลไม้สด เสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน และค่าเล่าเรียน ส่งผลให้
เงินเฟ้อของไทยขยายตัวในระดับที่ไม่สูงมากนัก
เงินเฟ้อที่สูงขึ้นในเดือนนี้ สอดคล้องกับเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญหลายตัวที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านอุปสงค์ ได้แก่ ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ปริมาณนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ และการส่งออกสินค้าที่ยังคงขยายตัวได้ดี ด้านอุปทาน ได้แก่ กำลังการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีการจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และยอดการจัดเก็บภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิต ที่สูงขึ้น
ร้อยละ 8.7 จากร้อยละ 7.7 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ที่สูงขึ้นร้อยละ 6.1 จากร้อยละ 8.9 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.6 จากระดับ 47.0 ในเดือนก่อนหน้า
แนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไป เดือนกุมภาพันธ์ 2565
คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นในระดับที่ไม่มากนัก สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน
ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศ ที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามราคาในตลาดโลก ประกอบกับราคาฐานของเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมายังอยู่ในระดับต่ำ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นตาม
ค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าจ้างแรงงาน และยกเลิกการยกเว้นการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2565 ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการผลิตและราคาขายปลีกสินค้าและบริการในลำดับต่อไป นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกที่ทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น อาทิ
ค่าขนส่ง และต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ราคาอาหารทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น