DBS Denla British School ลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เดินหน้าขยายอาคารเรียน เพิ่มพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อรองรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย และตอบสนองกับเป้าประสงค์แห่งการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาของประเทศอังกฤษ ภายใต้อุดมการณ์ “Building for the Best: สร้างสิ่งที่ดีที่สุดเพราะนักเรียนสำคัญที่สุด!” ปูพื้นฐานและเตรียมความพร้อมทั้งฮาร์ดสกิลและซอฟต์สกิล พร้อมสนับสนุนนักเรียนให้สามารถแข่งขันในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและความต้องการที่ การเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21
ผศ. ดร. ต่อยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารโรงเรียนนานาชาติ DBS Denla British School เปิดเผยว่า ยุคดิจิทัลดิสรัปชั่น-โควิดดิสรัปชั่น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านวิถีการดำเนินชีวิต ทักษะที่สำคัญในชีวิตและการทำงานในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 1. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม คิดอย่างสร้างสรรค์ ใส่ใจในนวัตกรรมใหม่ ๆ รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต 2. ทักษะสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี อัพเดตทุกข้อมูลข่าวสาร รู้เท่าทันสื่อ รอบรู้เทคโนโลยีสารสนเทศ ฉลาดในการสื่อสาร 3. ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ มีความยืดหยุ่น รู้จักปรับตัว ริเริ่มสิ่งใหม่ ใส่ใจดูแลตัวเอง รู้จักเข้าสังคม เรียนรู้วัฒนธรรมต่าง ๆ มีความเป็นผู้นำ รับผิดชอบต่อหน้าที่ แก้ปัญหาเป็น สื่อสารดี เต็มใจร่วมมือ
–ชิเซโด้ มั่นใจ ร่วมทุนเฮงเค็ล ไม่กระทบคู่ค้า ตั้งเป้าสร้างการเติบโตในระยะยาว
–Matan เปิดตัวไอศกรีมนมจากพืช 3 รสชาติ รุกตลาดคนรักสุขภาพ
ดังนั้น DBS มุ่งให้เด็กวัยเรียนวัยรุ่นมีความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21 ครบถ้วน รู้จักคิด วิเคราะห์ รักการเรียนรู้ มีสำนึกพลเมือง มีความกล้าหาญทางจริยธรรม มีความสามารถในการแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสารดี และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ พร้อมด้วยการจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีที่สุดเพื่อสนับสนุนนักเรียนให้สามารถแข่งขันในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21
สำหรับในปี 2565 DBS ประกาศทิศทางและนโยบายการขับเคลื่อนโรงเรียนนานาชาติ ขยายเปิดการเรียนการสอนรองรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึง 6 (Year 11- 13) อายุระหว่าง 14-18 ปี ตามแผนงานที่วางไว้ โดยมุ่งมั่นสร้างสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อนักเรียน (Building for the Best because You are the Best) พร้อมปูพื้นฐานความพร้อมทางด้านความรู้และทักษะแห่งอนาคต ทั้งฮาร์ดสกิลและซอฟต์สกิลให้แก่นักเรียนตั้งแต่ยังเล็ก พร้อมลงทุนสร้างอาคารเรียนและสิ่งอํานวยความสะดวก เพื่อสนับสนุน “เป้าประสงค์แห่งการเรียนรู้” หรือ “Purpose of Learning” ตามหลักสูตรการศึกษาของประเทศอังกฤษโมเดลโรงเรียนเอกชน ประกอบด้วย
1. Self-discovery คือ การให้เด็กสามารถค้นพบตัวตนได้ตั้งแต่ยังเล็ก DBS มีสิ่งอำนวยความสะดวกสนับสนุนด้านความรู้และกิจกรรมเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ทดลอง ทดสอบ หาความชอบความถนัดของตน
2. Self-learning คือ ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นทักษะที่เด็กพึงมีและจะติดตัวไปตลอดชีวิต ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้เด็กสามารถต่อยอดและพัฒนาศักยภาพตนเองได้อย่างยั่งยืน
ซึ่งอาคารเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ DBS กำลังสร้างใหม่นี้ มีขึ้นสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยม อาทิ Auditorium, Design Technology suite, IT suite, Senior Library, Sixth Form Centre, House Common Rooms, Art Studios และอื่น ๆ เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนได้เข้ามาค้นคว้า เรียนรู้ และทำงานวิจัยด้วยตนเอง โดยเฉพาะนักเรียนชั้นโตสุดที่ตามหลักสูตรอังกฤษเรียกว่า Sixth Form จะได้ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเองเหมือนกับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัย
ทั้งนี้หลักสูตรอังกฤษเป็นหลักสูตรที่มุ่งเตรียมความพร้อมให้กับการดำเนินชีวิตของเด็กในอนาคต โดยเฉพาะในยุคนี้ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หรือที่เรียกว่ายุคดิสทรัปชั่น (Disruption) DBS มีเป้าหมาย Nurturing Great Global Leaders ซึ่งจะสร้างให้ นักเรียนเติบโตไปเป็นผู้นำที่ดีของโลก มีทักษะความเป็นผู้นำ รอบรู้ รอบด้าน สร้างสรรค์ เป็นนักพัฒนา หรือเรียกว่า “ประชากรคุณภาพของโลก
สำหรับเป้าหมาย Nurturing Great Global Leaders นี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้ 5 เสาหลัก ประกอบด้วย
1. An Enhanced British Curriculum หลักสูตรอังกฤษแบบโรงเรียนเอกชน ที่มีการเพิ่มชั่วโมงเรียนให้นักเรียนได้มีเวลาค้นคว้าหาสิ่งที่ตนเองชอบ เพื่อเป้าประสงค์ของการ Self-discovery
2. Academic Excellence for All ความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยการผลักดันให้นักเรียนสามารถเข้าถึงหลักสูตรการเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งหลักสูตรเป็น 3 ภาษา คือ อังกฤษ ไทย และจีน
3. Entrepreneurship and Creative Thinking การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และปลูกฝังทักษะความเป็นผู้ประกอบการ
4. Thai Values in a Global Context การปลูกฝังพื้นฐานภาษา วัฒนธรรมไทย ทัศนคติต่อชุมชนและต่อโลก ถึงแม้ว่าเราจะเป็นโรงเรียนนานาชาติ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในบริบทของสังคมไทย เด็กต้องสามารถปรับตัวให้สอดรับกับทุกบริบทของทุกที่ทั่วโลก เป็นพลเมืองโลก (Global Citizen)
5. Wellbeing and Sustainability ความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน เราให้ความสำคัญกับความอยู่ดีกินดีของนักเรียน รวมถึงบุคลากรโรงเรียน เพราะเราถือว่าโรงเรียนคือบ้านหลังที่ 2 DBS ใช้หลักสูตรการเรียนการสอนของประเทศอังกฤษ ภายใต้แนวคิดการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชน ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในหลักสูตรที่ดีที่สุดในโลก
ดร. เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กรรมการบริหารโรงเรียนนานาชาติ DBS อีกท่าน เปิดเผยต่อว่า ปัจจุบันมีโรงเรียนนานาชาติเป็นจำนวนกว่า 200 แห่ง โดยเป็นโรงเรียนระดับพรีเมียม 73 แห่ง หรือคิดเป็น 36% มีอัตราการเติบโตปีละ 9% เมื่อเทียบกับย้อนหลังไปประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราการเติบโตแบบดับเบิลดิจิตถึง 4 ปีซ้อน เรียกได้ว่าโรงเรียนนานาชาติของไทยเติบโตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมโรงเรียนนานาชาติแห่งประเทศไทย) สำหรับมุมมองในภาพรวมของโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย แนวโน้มการลงทุนด้านการศึกษาซึ่งพ่อแม่ยุคปัจจุบันจะส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ เพราะมีความมั่นใจในการปูพื้นฐานให้เด็กสามารถพัฒนาศักยภาพไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความพร้อมในการแข่งขันทั้งทางด้านธุรกิจและการใช้ชีวิต
“วันนี้การวัดค่าความสำเร็จของนักเรียนเปลี่ยนไป เพราะไม่ได้วัดความสำเร็จของเด็กที่แค่สอบติดหมอหรือวิศวะอีกต่อไป ผู้ปกครองยุคใหม่เปิดใจและสนับสนุนให้ลูกค้นหาความถนัดของตนเอง มีมุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ว่าจะส่งลูกเรียนโรงเรียนอะไรก็ได้ตอนเด็ก ๆ แล้วเมื่อโตขึ้นก็ค่อยส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยดี ๆ แต่ปัจจุบันพวกเขามีความคิดว่าต้องลงทุน “Invest Now” เพื่อ “Harvest in the future” นั่นคือ การลงทุนเรื่องการศึกษาให้ลูกในวันนี้ เพื่อให้ลูกมีความรู้และทักษะรอบด้านตั้งแต่พวกเขายังเล็ก พอพวกเขาเติบโตจะเป็นบุคคลคุณภาพที่มีความเพรียบพร้อมในทุกด้านและมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จสูง ด้วยการมีความรู้และทักษะชีวิตที่พร้อมตั้งแต่ยังเด็กทำให้ลูกมีความพร้อมที่จะฟันฝ่าทุก ๆ ความท้าทายบนโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา” ดร. เต็มยศ ปาลเดชพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ DBS วางกลยุทธ์ทางการตลาดในรูปแบบ Word-of-Mouth หรือการบอกต่อ ด้วยการที่โรงเรียนจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เนื่องด้วยปัจจุบันมีโรงเรียนนานาชาติจำนวนมาก สิ่งสำคัญจะต้องพัฒนาทำให้โรงเรียนมีคุณภาพที่ดีที่สุด เพราะDBS คือการลงทุนกับการศึกษาของเด็ก เป็นการลงทุนกับคน จึงต้องการทำให้นักเรียนของได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากโรงเรียน นอกจากการพัฒนาทางด้านหลักสูตร พัฒนาอาคารสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก และการจัดการและการให้บริการของโรงเรียนแล้ว
สิ่งที่ DBS ได้พัฒนาคือบุคคล นักเรียนของ DBS จะต้องไม่เก่งอย่างเดียว เพราะเขาจะต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ จะต้องเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และกลับมาสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้สังคมบ้านเกิด เป็นประชากรที่ดีให้กับประเทศชาติและกับโลกด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่เราภาคภูมิใจ คือ เราสร้างวัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกันและการมีส่วนร่วม คณะครู เจ้าหน้าที่ นักเรียนและผู้ปกครอง ล้วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรียนร่วมกัน เราจึงเรียกสังคมในโรงเรียนของเราว่า DBS Community
จอนนี่ ลิดเดิ้ล (Mr. Jonny Liddell) ครูใหญ่โรงเรียนนานาชาติ DBS เปิดเผยต่อว่า สำหรับการศึกษาแบบโรงเรียนเอกชนอังกฤษ ไม่ได้มุ่งเน้นด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ค้นพบพรสวรรค์ทั้งทางด้านวิชาการ กีฬา ศิลปะ และนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกด้วย โดยโรงเรียนได้เตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยี อุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัย มาสนับสนุนและส่งเสริมการเรียนรู้
ปัจจุบันมีอาคารทั้งหมด 5 อาคาร ประกอบด้วย
1. อาคารเรียนสำหรับเด็กชั้นเตรียมอนุบาล (Mini Dragons)
2. อาคารเรียนสำหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 4 (EY1-Year 11)
3. อาคารอเนกประสงค์สำหรับกิจกรรมและกีฬาต่าง ๆ เช่น โรงละครขนาดเล็ก (Black Box) สระว่ายน้ำ และ Dance Studio
4. พื้นที่โซนสนามกีฬาภายนอก ได้แก่ สนามฟุตบอล สนามรักบี้ ลู่วิ่ง สนามบาสเก็ตบอล สนามเทนนิส และกอล์ฟ และส่วนที่
5. อพาร์ตเม้นต์สำหรับเจ้าหน้าที่และครูต่างชาติ
ขณะนี้ DBS กำลังก่อสร้างอาคารหลังใหม่จำนวน 2 อาคาร ซึ่งอยู่ในส่วนการดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารใหม่ของ DBS ครั้งนี้ คือ เป็นการพัฒนาระยะที่ 2 ของโรงเรียน และคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปีนี้ เพื่อรองรับนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่จะเข้ามาเรียนเพิ่มขึ้นในปีการศึกษาถัดไป โดยจะมีห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (IT suite) โรงละครและหอประชุมขนาด 665 ที่นั่ง ห้องซ้อมดนตรีและเวที ฟิตเนสเซ็นเตอร์ สตูดิโอศิลปะ สตูดิโอด้านประติมากรรม และสตูดิโอออกแบบ คุณภาพและความทันสมัยของ อาคารเรียนและสิ่งอํานวยความสะดวกของ DBS อยู่ในระดับเดียวกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
จอนนี่ กล่าวเน้นย้ำถึงการส่งเสริมให้นักเรียนมีทั้งองค์ความรู้เชิงวิชาการและความสามารถทางด้านทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ทั้งด้านการคิดเชิงวิพากษ์ การแก้ปัญหา การสื่อสาร และการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในทุกยุคทุกสมัย อย่างไรก็ตาม คุณจอนนี่กล่าวว่า โรงเรียนไม่สามารถสอนทุกอย่างได้ แต่การที่ให้นักเรียนได้มีโอกาสพัฒนาความรู้เชิงลึก (Knowledge-rich curriculum) จะเป็นการเปิดทักษะที่สำคัญ คือ ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-learning) ซึ่งพวกเขาจะสามารถปรับตัวและเผชิญกับทุกความท้าทายในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างยั่งยืน หากพวกเขาสามารถต่อยอดความเข้าใจได้ด้วยตนเอง เมื่อเด็กได้เรียนรู้และฝึกฝนตั้งแต่ในโรงเรียน ความสามารถในการเรียนรู้ในอนาคตของเขาจะมากขึ้น