Energy

Huawei ตั้งเป้าขับเคลื่อนประเทศสู่ความทัดเทียมในการเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า ด้วยแนวทาง Energy as a Service

Huawei นำทัพดันโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ พร้อมตั้งเป้าขับเคลื่อนประเทศสู่ความทัดเทียมในการเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า ด้วยแนวทาง Energy as a Service

ปัจจุบันนี้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานครั้งยิ่งใหญ่ (Energy Disruption) ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญที่ทั่วโลกต่างต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเร่งหาแหล่งพลังงานใหม่ ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทางเลือกที่มีศักยภาพเพียงพอในการทดแทนพลังงานฟอสซิล ที่กำลังจะหมดไปในอนาคตอันใกล้ ยังเป็นไปเพื่อผลักดันให้โลกก้าวเข้าสู่ยุคการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด

บริษัท ศิริประภา เอ็นจิเนียริ่ง เร่งสร้างความยั่งยืน เพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

เพื่อให้ประเทศไทยก้าวทันยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน ไทยจึงจำเป็นต้องมีแนวทางการขับเคลื่อนระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือ “สมาร์ทกริด” ที่มีความเป็นรูปธรรมมากกว่าในปัจจุบัน โดยในระดับมหภาค ประเทศไทยยังมีเป้าหมายที่ต้องการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 อีกด้วย โดยระบบโครงข่ายไฟฟ้าในปัจจุบันของประเทศไทยยังคงมีทิศทางการไหลของพลังงานไฟฟ้าส่วนใหญ่เพียงทิศทางเดียว (เช่น การส่งพลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไปยังผู้ใช้ไฟฟ้า) โดยที่ผู้ใช้ไฟฟ้าเองยังมีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าที่ค่อนข้างจำกัด รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของระบบไฟฟ้าระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระดับต่ำ ดังนั้นระบบโครงข่ายสมาร์ทกริด จะกลายเป็นหมากสำคัญทางนวัตกรรมที่จะพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์ตรวจวัด ประมวลผล ระบบอัตโนมัติและสื่อสารข้อมูล พร้อมทั้งควบคุมทิศทางการไหลของพลังงานไฟฟ้าและข้อมูลสารสนเทศให้สามารถไหลได้ทั้งสองทิศทาง และยังสามารถรองรับแหล่งไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจำนวนมากที่กระจายตัวอยู่ทั่วไป การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังจะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ไฟฟ้า ทั้งผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป สามารถบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตและพฤติกรรมการใช้ไฟในแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภายในงานสัมมนา “แนวทางการขับเคลื่อนระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ของประเทศไทย ในยุคความท้าทายด้านพลังงาน (Energy Disruption)” ดร.สุธี ไตรวิวัฒนา เจ้าหน้าที่กลยุทธ์กลุ่มธุรกิจดิจิทัลพาวเวอร์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับระบบสมาร์ทกริดและดิจิทัลพาวเวอร์ของประเทศไทย โดยได้เปิดเผยถึง 4 กลยุทธ์สำคัญที่จะพลิกโฉมประเทศสู่พลังงานแห่งอนาคต ซึ่งประกอบด้วย

  1. การเตรียมโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน ด้านการสื่อสารโทรคมนาคม รวมไปถึงโครงสร้างด้านเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ ที่จะเข้ามาบริหารจัดการระบบโครงข่ายอัจฉริยะให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกภาคส่วน
  2. การสร้างกลไกตลาดที่สมบูรณ์ และสมเหตุสมผล ทั้งด้านต้นทุน ราคา ต้องมีการจัดการให้เหมาะสมอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมทั้งในแง่ราคาและการนำไปใช้งานกับธุรกิจประกอบการและภาคประชาชนอย่างแท้จริง
  3. กฎระเบียบที่ส่งเสริมให้สมาร์ทกริดเกิดขึ้นได้จริง จากการผลักดันและสนับสนุนของภาครัฐและผู้ให้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะจากภาคเอกชน
  4. การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสมาร์ทกริด ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริด อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพการแข่งขันระบบเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ

3 เสาหลักของการพัฒนาโครงข่ายสมาร์ทกริดประเทศไทย

ดร.สุธี ยังได้เปิดเผยถึงภารกิจสำคัญของหัวเว่ยในการมุ่งพัฒนาโครงข่ายสมาร์ทกริดว่า “หัวเว่ยเป็นผู้นำด้านธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานดิจิทัลในระดับโลก ซึ่งมีบริการและโซลูชันต่าง ๆ ที่ได้รับการนำไปประยุกต์ใช้ในกว่า 170 ประเทศ ธุรกิจพลังงานดิจิทัลของหัวเว่ยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ในฐานะที่ประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของหัวเว่ย หัวเว่ยจึงลงทุนเพิ่มเติมในด้านธุรกิจพลังงานดิจิทัล ให้บริการภาคธุรกิจ และภาคประชาชนด้วยโซลูชันต่าง ๆ สำหรับการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของประเทศไทยให้เกิดรากฐานที่แข็งแกร่ง จะต้องประกอบไปด้วยสามเสาหลักดังต่อไปนี้

  1. การตอบสนองด้านโหลด (Demand Response) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบไฟฟ้าด้วยการปรับพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ไฟฟ้า ทำให้ลดภาระการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาสูงสุด นำไปสู่การลดต้นทุนในการผลิตและสำรองไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา
  2. ระบบพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast) จะต้องแม่นยำ และมีประสิทธิภาพ
  3. การพัฒนาระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้มีความมั่นคง มีเสถียรภาพและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบไฟฟ้า (Grid Modernization) เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการพัฒนาระบบรวมไปถึงการพัฒนาระบบการกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) และการบูรณาการยานยนต์ไฟฟ้า (EV Integration) เพื่อช่วยบรรเทาความต้องการใช้งานของระบบไฟฟ้าจากปริมาณยานยนต์ไฟฟ้าที่มีมากขึ้นในอนาคต

ผลักดัน “Energy as a Service” โซลูชันที่เป็นมากกว่าโครงข่ายสมาร์ทกริด ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

ดร. สุธียังได้กล่าวถึงเป้าหมายในการผลักดันโซลูชัน Energy as a Service ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยว่า “เพื่อเดินหน้าสานต่อพันธกิจเติบโตพร้อมกับประเทศไทย ร่วมสนับสนุนประเทศไทย (Grow in Thailand, Contribute to Thailand) หัวเว่ยได้ร่วมมือกับภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงข่ายสมาร์ทกริดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของประเทศไทย ด้วยโครงสร้างพื้นฐานของหัวเว่ย ที่เต็มไปด้วยขุมพลังจากเหล่าเทคโนโลยีล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นโซลูชันด้านระบบโซลาร์เซลล์และด้านโครงข่ายโทรคมนาคม ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยสร้างการเชื่อมต่อของข้อมูล (Data) พัฒนาระบบสมาร์ทกริดของประเทศ และวางรากฐานด้านพลังงานดิจิทัลและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของภาคธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ให้บริการธุรกิจพลังงานดิจิทัลกับลูกค้าระดับองค์กรธุรกิจมากกว่า 1,000 รายในประเทศไทย โดยองค์กรธุรกิจจำนวนมาก ได้ไว้วางใจให้หัวเว่ยเป็นพาร์ทเนอร์ด้านพลังงานดิจิทัล ขยายศักยภาพของธุรกิจพลังงานดิจิทัล และช่วยสร้างงานอีกกว่า 1,000 ตำแหน่งในประเทศ”

ด้วยการรุกคืบในการขยายส่วนบริการธุรกิจพลังงานดิจิทัลของหัวเว่ย เขาเชื่อมั่นว่า หากประเทศไทยมีรากฐานโครงข่ายสมาร์ทกริดที่มั่นคง และสามารถยกระดับประเทศไปสู่การใช้โซลูชันในรูปแบบ Energy as a Service ในอนาคต ธุรกิจในทุกภาคอุตสาหกรรมจะสามารถเข้าถึงระบบไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้า รวมทั้งไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องการซ่อมบำรุง การบริการต่าง ๆ หรือการดำเนินการ ทั้งยังมีความยืดหยุ่นด้านพลังงานและสามารถบริหารความเสี่ยงได้เราจะสามารถผลักดันประเทศให้ก้าวสู่ “ความทัดเทียมในการเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า” ส่งผลในเชิงบวกต่อทั้งภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมไปถึงประชาชนที่จะสามารถใช้ไฟฟ้าได้ในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น สิ่งสำคัญคือการเข้าถึงสวัสดิการและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ โดยที่ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งจะช่วยทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

supersab

Recent Posts

LINE MAN เผยเทรนด์ “ชาไทย Specialty” แรงจัด! ยอดสั่งพุ่ง 81% ร้านใหม่ผุด 205%

กระแสชาไทย Specialty ฟีเวอร์! ข้อมูลจาก LINE MAN เผยให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาด "ชาไทย Specialty" ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่มียอดสั่งซื้อทะยาน 81% ร้านใหม่ตบเท้าเปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง…

2 minutes ago

China Unicom to Blanket 300+ Cities with 5G-Advanced by 2025, While Thailand Leads APAC’s 5G Revolution

China Unicom has launched its ambitious 5G-Advanced Action Plan, setting the stage for a significant…

2 hours ago

AIS ผนึกกำลังพันธมิตรภาครัฐ เดินหน้าจัดระเบียบสายสื่อสาร ถนนวิทยุ สร้างมหานครสวยงาม ปลอดภัย

AIS จับมือ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.), กสทช., กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดมทีมวิศวกรเข้าดำเนินการจัดระเบียบสายสื่อสารบนเสาไฟฟ้าและนำลงใต้ดิน บริเวณถนนวิทยุ ตั้งแต่แยกวิทยุ ถึงแยกเพลินจิต ทั้งสองฝั่ง ตลอดแนวถนน การดำเนินงานในครั้งนี้ มุ่งเน้นไปที่ความปลอดภัยของประชาชนและการลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ…

2 hours ago

“Trumpism 2.0” กระแทกโลก! สกสว. ชี้ไทยต้องเร่งเครื่อง BCG Economy ดันนวัตกรรมรับมือ ตั้งเป้าปั้นไทยเป็นฮับเทคโนโลยีอาเซียน ดึงต่างชาติร่วมลงทุน

ในยุคที่ "Trumpism" กำลังเขย่าวงการโลกอีกครั้ง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้จัดเวทีเสวนา “Trump 2.0 วิกฤตหรือโอกาสของระบบ ววน. ไทย” เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบาย "America…

2 hours ago

องค์กร 61% กังวลความปลอดภัยคลาวด์ ฟอร์ติเน็ตแนะใช้แพลตฟอร์มรวมศูนย์-เสริมทักษะรับมือภัยคุกคามยุคใหม่

ฟอร์ติเน็ต เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดจากรายงานสถานะความปลอดภัยระบบคลาวด์ประจำปี 2568 (2025 State of Cloud Security Report) ซึ่งจัดทำโดย Cybersecurity Insiders ชี้ให้เห็นว่า องค์กรส่วนใหญ่กำลังเผชิญกับความท้าทายในการรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการปฏิบัติตามกฎระเบียบและการปกป้องข้อมูล…

2 hours ago

เปิดเทรนด์ “Conscious Travel” สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ยุคสมัยที่โรงแรมเป็นเพียง "ที่นอน" ได้ลาจากไปแล้ว! นักท่องเที่ยวไทยยุคใหม่กำลังมองหาประสบการณ์ที่มากกว่าการพักผ่อน พวกเขาต้องการสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น และใส่ใจความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม เทรนด์ "Conscious Travel" หรือการเดินทางอย่างมีสติกำลังมาแรง สะท้อนผ่านพฤติกรรมการพักผ่อนที่ยาวนานขึ้นในโรงแรม พร้อมแสวงหาประสบการณ์สุดพิเศษที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคล เจาะลึกเทรนด์นักท่องเที่ยว จากรายงาน Changing…

2 hours ago