นักวิเคราะห์ บลจ.อีสท์ปริง ประเมินผลกระทบกรณีธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ (SVB) ในสหรัฐ ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 16 ของประเทศ ถูกสั่งปิดกิจการหลังประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และสถาบันคุ้มครองเงินฝาก(FDIC) ได้เรียกประชุมผู้บริหารธนาคาร และมีการอนุมัติการตั้งเงินกองทุนพิเศษสำรอง Bank Term Funding Program เพื่อให้ผู้ฝากเงินกับธนาคาร SVB และ Signature Bank ที่ถูกปิดไป ให้สามารถเข้าถึงและถอนเงินของตนได้ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม ได้ทั้งหมด
ล่าสุดกระทรวงการคลังสหรัฐฯ, Federal Reserve และ Federal Deposit Insurance Corp. ได้ร่วมกันแถลงถึงมาตรการเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในระบบธนาคาร และเสริมสร้างสภาพคล่องให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
ด้าน Janet Yellen รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวต้องการจะปกป้อง “ผู้ฝากเงินทั้งหมด” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณช่วยเหลือผู้ที่มีบัญชีเงินฝาก โดยผู้ฝากเงินของ SVB จะสามารถเข้าถึงเงินทั้งหมดของพวกเขาได้ ทั้งนี้ยังได้เสริมอีกว่า ผู้เสียภาษีจะต้องไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใดๆที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาของ SVB รวมถึงธนาคารอื่นที่อาจเป็นเช่นเดียวกัน รัฐบาลระบุในแถลงการณ์
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับนักลงทุนและเกิดความกังวลว่าอาจลุกลามเป็นเหมือนวิกฤต Lehman Brothers ในปี 2008 แต่หากพิจารณาการดำเนินธุรกิจแล้ว SVB ถือเป็นธนาคารที่ระมัดระวังการลงทุนค่อนข้างมาก โดยสินทรัพย์ที่นำเงินฝากไปลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มตราสารหนี้ พันธบัตร และตราสารที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งแตกต่างจาก Lehman Brothers ที่นำเงินไปปล่อยกู้ให้กับสินเชื่อบ้านคุณภาพต่ำ (Subprime Mortgage) เกินตัว จนนำมาสู่การล้มละลายจากปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ไม่ดี ซึ่งล่าสุด จากการที่ทางการออกมาตรการเข้าช่วยเหลือทันที อาจเรียกได้ว่าเหตุการณ์นี้ได้ปิดประตูผลกระทบที่จะเป็น Domino Effect ไปแล้วทันที
บลจ.อีสท์ปริง มองว่าเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นการบริหารสภาพคล่องที่ผิดพลาดเฉพาะตัวของบริษัท และจะไม่นำไปสู่ Domino Effect เหมือนที่เกิดขึ้นในปี 2008 ประกอบกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯที่พร้อมเข้าดูแลความเชื่อมั่นในทันที ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวอาจสร้างความกังวลให้กับตลาดหุ้นได้บ้างในระยะสั้นได้บ้าง แต่มองเป็นโอกาสเข้าลงทุนในระยะยาว รวมถึงรอดูท่าที่ของ Fed ว่าจะมีการดำเนินนโยบายอย่างไรในการประชุมวันที่ 22 มีนาคมนี้ ซึ่งล่าสุดทั้ง Bond Yield 2 ปี และ Terminal Rates ต่างปรับลดลงซึ่งสะท้อนการลดความ Hawkish ลงของ Fed ในช่วงเวลานี้ ซึ่งอาจช่วยลดความตึงเครียดและความวิตกของนักลงทุนจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้