- บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด ตั้งเป้า 3 ปีเพิ่มสัดส่วนลูกค้ารุ่นใหม่เป็น50% ของพอร์ต วางแผนเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น
- เผยทิศทางคนรุ่นใหม่สนใจทำอาชีพอิสระมากขึ้น ชื่นชอบการเป็นผู้ประกอบการตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ขาดหลักประกันจากการทำงานต่างจากมนุษย์เงินเดือน ล่าสุดพบคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศหันลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น เหตุเป็นตัวช่วยสร้างความมั่งคั่งที่ดีในช่วงที่ยังขาดความรู้และความเข้าใจในการลงทุน
- แนะ 5 เคล็ดลับ กฎทองการลงทุนด้วยตัวเอง สู่หนทางประสบความสำเร็จแบบมืออาชีพ
นายยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ XSpring AM เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่หันไปประกอบอาชีพอิสระจำนวนมาก จนเกิดเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Gig Economy จากข้อมูลสำนักงานสถิติประเทศไทยพบว่า ปี 2564 มีจำนวนประชากรที่ประกอบอาชีพอิสระมากกว่า 21 ล้านคน ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมาก และมีแนวโน้มว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเจนเนอเรชั่นใหม่ที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการตั้งแต่อายุยังน้อย หรือกลุ่มแม่ค้าออนไลน์ และกลุ่มยูทูปเบอร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระส่วนใหญ่ คือกลุ่มคนทำงานอิสระที่ไม่ได้รับสวัสดิการหรือหลักประกันทางการเงินจากองค์กรหรือที่ทำงาน ปัจจุบัน กลุ่มอาชีพอิสระจึงหันมาสนใจการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีสร้างหลักประกันในอนาคตให้กับตัวเอง และการลงทุนผ่านกองทุนรวมสามารถเข้าถึงได้อย่างไม่ซับซ้อน
XSpring AM เห็นแนวโน้มกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากให้ความสนใจลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้น ทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัล จากข้อมูลพบว่า พฤติกรรมของนักลงทุนรุ่นใหม่ในต่างประเทศจะเริ่มจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมก่อน เนื่องด้วยการเป็นนักลงทุนมือใหม่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในการลงทุนที่เพียงพอ แต่การเริ่มลงทุนผ่านกองทุนรวมสามารถช่วยให้นักลงทุนหน้าใหม่มีผลกำไรเฉลี่ยที่ดีได้ ต่างจากการเริ่มลงทุนตรงในหุ้น หากเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีความผันผวนสูง แม้จะสร้างผลตอบแทนแบบหวือหวา แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงได้เช่นกัน ดังนั้น XSpring AM จึงมีแผนเตรียมออกกองทุนรวมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เพื่อรองรับความต้องการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น โดยต้องเป้าหมายว่า ภายใน 3 ปี จะสามารถเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่เป็น 50% ของพอร์ตลูกค้ารวม
อย่างไรก็ดี การเริ่มสนใจลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อยถือเป็นทิศทางที่ดี การเริ่มต้นลงทุนด้วยตัวเอง ให้ประสบความสำเร็จนั้นมีกฎสำคัญ ที่ แนะนำดังนี้
- ยึดกฏของการลงทุนของกูรูแห่งศตวรรษ อย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ข้อแรกคืออย่าขาดทุน หมายความว่าหากเริ่มลงทุนด้วยเงิน 100,000 บาท หากขาดทุน 50% จะเหลือเงินลงทุน 50,000 บาท ดังนั้น การจะทำให้เงิน 50,000 บาทให้กลับมาเป็น 100,000 บาทเหมือนเดิมต้องได้กำไรมากถึง 100% ซึ่งต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและอาจเผชิญการติดลบมากขึ้นไปอีก รวมถึงอาจต้องใช้ระยะเวลาการลงทุนนาน ทำให้นักลงทุนอาจเสียกำลังใจและลงทุนผิดหลักยึดตั้งแต่ตอนแรกที่ตั้งใจลงทุน
- กระจายการลงทุน เช่น หากเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นทั่วโลก และกองทุนรวมตราสารหนี้ทั่วโลก แต่ไม่ได้ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับเทรนด์ในช่วงนั้นๆ เช่น กัญชา หรือหุ้นเทคโนโลยี ก็จะทำให้ขาดโอกาสการลงทุน แต่กลับกันถ้าเราเริ่มการลงทุนด้วยการลงทุนหุ้นธุรกิจที่เกี่ยวกับกัญชา ถ้าเป็นการลงทุนในปีที่ดี ผลตอบแทนอาจมากถึง 150% แต่กลับกันถ้าเป็นปีที่แย่ผลตอบแทนอาจติดลบลงไปสูงสุดถึง 80% ดังนั้นการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงจะทำให้ไม่เสียโอกาสในการลงทุนและไม่เสี่ยงจนเกินไป
- ทยอยลงทุน อย่างน้อยที่สุดต้องแบ่งลงทุนสองครั้ง ไม่ใช้เงินลงทุนที่มีทั้งหมดซื้อสินทรัพย์ภายในครั้งเดียว อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่มีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ สามารถแบ่งลงทุนแบบการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน โดยการลงทุนในสินทรัพย์มูลค่าเท่ากันอย่างสม่ำเสมอ (DCA หรือ Dollar-Cost Averaging) จะง่ายที่สุด แต่ถ้าลงทุนแบบลงทุนถัวเฉลี่ย ด้วยวิธีการควบคุมมูลค่าพอร์ตหุ้น (VA หรือ Value Averaging) ถ้าลงในสินทรัพย์ที่ระยะยาวเป็นขาขึ้น จะให้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีดีที่สุด
- ลงทุนในระยะยาว ตามเป้าหมาย อาจแยกพอร์ตหลัก พอร์ตรอง (พอร์ตซิ่ง) เพราะการแบ่งเงินเป็นหลายก้อน หลายเป้าหมาย หลายคนตัดสินใจ หลายความสามารถจะช่วยลดความผันผวนจากความเสี่ยงได้ดี
- จับจังหวะการลงทุนที่ดี ดังคำกล่าวที่ว่า “กลัวตอนที่คนอื่นกล้า กล้าตอนที่คนอื่นกลัว” วรรคทองจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ อีกเช่นกัน ยกตัวอย่าง เช่น หากดัชนีหุ้นทั่วโลก หุ้นสหรัฐ หุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น ตกลงมาระดับ 20% เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมระยะยาวที่มีโอกาสเติบโตได้ ก็ควรใช้เป็นจังหวะนี้ซื้อลงทุนไม้แรก แต่หากดัชนีถ้ายังปรับตัวลดลงอีกก็ใช้เป็นจังหวะสะสมต่อ
“นักลงทุนหน้าใหม่อาจจะลงแบบ VA ควบคุมปริมาณการซื้อหลักทรัพย์ เช่น ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำเพื่อให้มูลค่าพอร์ตเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแต่ละงวด โดยอาจเริ่มลงทุนกับกองทุนรวมดัชนีหุ้นโลก ทั้งนี้ การลงทุนแบบ VA มีความยุ่งยากมากกว่า และต้องอาศัยวินัยในการลงทุนมากกว่าวิธีแบบ DCA เพราะต้องประเมินดูมูลค่าพอร์ตลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่ไม่ค่อยมีเวลาอาจจะลองติดต่อ บลจ. ต่างๆ ได้ โดยเฉพาะ บลจ.เอ็กซ์สปริง ที่ปีนี้มีแผนที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ภายใต้ใบอนุญาตการจัดการกองทุนรวมและการจัดการกองทุนส่วนบุคคล ที่ได้รับจากสำนักงาน ก.ล.ต. ออกมาให้มากขึ้น” นายยศกร กล่าว