กกร.มองเงินเฟ้อกดดันเศรษฐกิจ น้ำมันแพง ขึ้นค่าไฟ ปัจจัยรุมเร้าฉุดเศรษฐกิจโตต่ำ

เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวชัดเจนขึ้น เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 โดยเศรษฐกิจของสหรัฐฯหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก และจีนขยายตัวต่ำกว่าประมาณการค่อนข้างมาก ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกลงสู่ 3.2% ในเดือน ก.ค. จาก 3.6% ในเดือน เม.ย. จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงจนกระทบครัวเรือนและภาคธุรกิจ

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลาง และผลข้างเคียงต่อห่วงโซ่อุปทานจากมาตรการ Zero COVID ที่เข้มงวดของจีน เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอลงจะส่งผลต่อการส่งออกของไทยในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งตัวเลขการส่งออกเดือน มิ.ย. ชี้ให้เห็นว่า การส่งออกไปประเทศเศรษฐกิจหลักเริ่มแผ่วลงบ้างแล้ว

เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 5.6% ซึ่งสูงกว่าภาวะปกติที่ 1-3% มาก และคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้าที่เริ่มกระจายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น นอกจากนั้นหากมีการปรับขึ้นค่าไฟในงวด ก.ย.-ธ.ค. ก็จะเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อให้เร่งตัวขึ้นได้อีก ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะกระทบอำนาจซื้อภาคครัวเรือนและต้นทุนของภาคธุรกิจ

ขณะที่การท่องเที่ยว และมาตรการภาครัฐเป็นแรงส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวชัดเจนขึ้น โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องหลังยกเลิกมาตรการ Thailand Pass คาดว่ามีโอกาสแตะระดับ 7-8 ล้านคน ประกอบกับยังมีแรงหนุนกำลังซื้อจากมาตรการภาครัฐ

โดยเฉพาะมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 5 ที่คาดว่าจะกระตุ้นการใช้จ่ายได้ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.2% ของ GDP ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศและภาวะเงินเฟ้อที่กระทบอำนาจซื้อ

ดังนั้นที่ประชุม กกร. ประเมินเศรษฐกิจไทยยังโตได้ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัว โดยที่ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ซึ่งจะขยายตัวได้ในกรอบ 2.75% ถึง 3.5% ขณะที่มูลค่าการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ในกรอบ 6.0% ถึง 8.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ 5.5% ถึง 7.0% กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2565 ของ กกร. %YoY

ประเด็นสำคัญที่หารือในการประชุมกกร.

  1. ด้านการขับเคลื่อนประเทศ ในที่ประชุมกกร.วันนี้ได้รับเกียรติจากหม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และผู้แทนการค้าไทย มาให้ข้อมูลทิศทางการขับเคลื่อนการฟื้นตัวประเทศ เพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน คือ Better and Green Thailand 2030 ที่ประกอบ ด้วย 5 มาตรการหลัก
  • ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 2.1 แสนล้านบาท
  • Smart Electronics โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 5 แสนล้านบาท
  • ดึงดูดชาวต่างชาติ ที่มีศักยภาพสูงด้วยให้วีซ่าระยะยาว 10 ปี (LTR) โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 1 ล้านล้านบาท
    • อุตสาหกรรม Digital (Data Center and Cloud Service) โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP
      1 แสนล้านบาท
  • Soft Power โดยมีเป้าหมายสร้าง GDP 3 หมื่นล้านบาท
    ซี่งมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ เช่น การเปิดใช้วีซ่าระยะยาว 10 ปี (LTR) และการส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ หากสามารถผลักดันให้สำเร็จ จะเป็นผลดีกับประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งช่วยสร้าง GDP ได้ถึง 1.7 ล้านล้านล้านบาท และการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน 6.25 แสนตำแหน่ง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 13% ภายในปี 2030สอดคล้องกับที่ประชุมกกร. ที่มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็นเรื่องจำเป็นในการช่วยขับเคลื่อนประเทศในอนาคตเช่นเดียวกัน จึงเห็นด้วยและพร้อมให้การสนับสนุนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจไทย เพื่อมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มและใช้จุดแข็งของประเทศไทยในเรื่องของพลังงานสะอาดในการดึงดูดต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตมากขึ้น ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่มีกำลังซื้อคุณภาพให้เข้ามาใช้จ่ายในประเทศ

นอกจากนี้ จากการที่ กกร. ได้มีการหารือร่วมกับทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยและนักธุรกิจญี่ปุ่นในหลายมิติที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนและการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกในการขอ Business Visa สำหรับนักธุรกิจที่จะเข้ามาติดต่อธุรกิจระยะสั้นในไทย เช่น การเข้ามาเจรจาธุรกิจ การเข้ามาทำนิติกรรมสัญญาทางธุรกิจ เป็นต้น

ซึ่ง กกร.เห็นด้วยกับแนวทางการปรับปรุงการขอ Business Visa เช่น การนำระบบ E-Visa มาใช้ในการยืนเอกสาร Business Visa สำหรับนักธุรกิจที่จะเข้ามาติดต่อธุรกิจระยะสั้นในไทย การปรับลดเอกสารในการพิจารณา และลดระยะเวลาในการพิจารณา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติ สอดคล้องกับการที่ไทยมีการยกเลิก Thailand Pass ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา

ซึ่งถือเป็นการผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศไทยครั้งใหญ่ กระตุ้นการท่องเที่ยวและเป็นการเปิดประเทศอย่างสมบูรณ์ด้านแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และค่าธรรมเนียม FIDF

ที่ประชุม กกร.เห็นว่า มีความสอดคล้องกับปัจจัยด้านเศรษฐกิจ รวมถึงแนวทางของนโยบายการคลังและความจำเป็นในการรักษาสมดุลด้านนโยบายในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยกำลังเพิ่มขึ้นทั่วโลกสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2565 ธนาคารกลางเมียนมา (Central Bank of Myanmar:CBM) ได้ออกคำสั่งให้บริษัทและผู้กู้ยืมเงินรายย่อยระงับการจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ต่างประเทศ รวมทั้งครอบคลุมการทำธุรกรรมในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรักษาปริมาณทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงต่อเนื่องนั้น

กกร. พบว่า การค้าระหว่างไทย – เมียนมา ในช่วง 5 เดือนแรกปี 2565 ขยายตัวต่อเนื่อง มูลค่าการค้าอยู่ที่ 118,900.61 ล้านบาท โดยคิดเป็นการค้าชายแดนร้อยละ 91.64 ของมูลค่าการค้ารวม เป็นอันดับ 2 ของการค้าชายแดนไทย และหากพิจารณาถึงผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าว จะสามารถแบ่งกลุ่มธุรกิจเป็น 2 ส่วน ดังนี้

ด้านการค้าระหว่างไทย – เมียนมา (Trading Business) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม

• กลุ่มธุรกิจการค้าชายแดน (Border Trade) ยังไม่ได้รับผลกระทบ

• การค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ได้รับผลกระทบ เนื่องจากมีการค้าขายด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐด้านอุตสาหกรรมที่เข้าไปลงทุนในเมียนมา (Investment)

แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่• กลุ่มการลงทุนทางตรง (FDI) หากเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงินในไทยเป็นเงินบาท จะไม่ได้รับผลกระทบ• กลุ่มการลงทุนภายใน หมายถึง บริษัทที่ลงทุนในเมียนมาอยู่แล้ว และได้นำผลกำไรที่เกิดขึ้นมาลงทุนขยายธุรกิจต่อ กลุ่มนี้จะไม่ได้รับผลกระ

Scroll to Top