Healthcare

“ออมรอน เฮลธแคร์” มอบเครื่องวัดความดันโลหิตให้สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย หวังสร้างความตระหนักและร่วมรณรงค์เติมความรู้ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง

ออมรอน เฮลธแคร์” เดินหน้าขับเคลื่อนโครงการรณรงค์วัดความดันโลหิต ซึ่งเป็นเดือนแห่งการวัดความดันโลหิต (May Measurement Month : MMM) ภายใต้แคมเปญตรวจคัดกรองความดันโลหิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำเนินการโดย International Society of Hypertension พร้อมส่งมอบเครื่องวัดความดันโลหิตให้สมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงด้วยการช่วยให้ผู้คนได้รับการวัดความดันโลหิตฟรี และร่วมรณรงค์ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง ทางสมาคมฯ เผยตัวเลขอัตราผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปี 2566 ข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุขระบุประเทศไทยมีผู้ป่วยจากโรคความดันโลหิตสูงรายใหม่ จำนวน 507,104 คน ซึ่งมีปัจจัยทั้งภาวะความเครียดสูงจากการทำงาน การดำเนินชีวิต ซึ่งเป็น ภัยเงียบที่ส่งผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม “ออมรอน เฮลธแคร์” หวังสร้างความตระหนักและร่วมรณรงค์เติมความรู้ดูแลสุขภาพด้วยตัวเอง

ยูซุเกะ กาโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออมรอน เฮลธแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เดือนพฤษภาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งการวัดความดันโลหิต (May Measurement Month : MMM) ซึ่งเป็นแคมเปญตรวจคัดกรองความดันโลหิตระดับโลกที่ดำเนินการโดย International Society of Hypertension เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงด้วยการช่วยให้ผู้คนได้รับการวัดความดันโลหิตฟรี ทางออมรอนจึงได้จัดทำโครงการฯ โดยได้บริจาคเครื่องวัดความดันโลหิตให้กับสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อรณรงค์และช่วยให้คนไทยเข้าถึงการตรวจวัดความดันที่ถูกต้อง แม่นยำและอยากเน้นให้คนไทยได้ #วัดความดันทุกวันเพื่อรู้ทันโรคร้าย รวมทั้งเก็บข้อมูลผลการสำรวจนำมาวางแผนการดูแลสุขภาพของคนไทย

“ออมรอน เฮลธแคร์ มีเป้าหมายสนับสนุนโครงการฯ หวังเป็นหนึ่งกระบอกเสียงเพื่อช่วยผลักดันให้คนไทยได้ตระหนักต่อภัยใกล้ตัว คือ โรคความดันโลหิตสูง เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังคิดว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ในยุคปัจจุบันจากวิถีการดำเนินชีวิต การทำงานที่เร่งรีบ ความเครียดที่มากขึ้นส่งผลให้คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น และมีแนวโน้มของกลุ่มเสี่ยงมีอายุที่ลดลงกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นในฐานะผู้พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ตรวจวัดความดันโลหิต ขอร่วมรณรงค์ให้คนไทยตรวจวัดความดันด้วยตัวเอง เพราะจะช่วยให้ติดตามสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายชนิด เช่น โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตเสื่อม การตรวจความดันโลหิตด้วยตัวเองเป็นประจำ ช่วยให้คุณทราบถึงระดับความดันโลหิตและแจ้งเตือนสัญญาณอันตรายได้เร็ว อีกทั้งการตรวจวัดความดันโลหิตด้วยตัวเอง ช่วยให้ติดตามผลการรักษาและประสิทธิภาพของยา ช่วยให้แพทย์ผู้รักษาสามารถปรับยาและวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นคนไทยควรวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ เพื่อรู้ทัน โรคร้าย” ยูซุเกะ กาโตะ กล่าว

รศ.พญ.วีรนุช รอบสันติสุข หัวหน้าสาขาวิชาความดันโลหิตสูง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลและกรรมการสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯ ขอขอบคุณทางออมรอน เฮลธแคร์ ที่ได้จัดทำโครงการฯ ซึ่งประเทศไทยดำเนินการมาเป็นปีที่ 4 แล้วโดยครั้งแรกจัดทำขึ้นเมื่อปี 2563 ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 สมาคมฯ ได้ข้อมูลต่างๆ นำมาวางแผนเชิงระบบเพื่อให้การรักษาให้ครอบคลุมและพัฒนาจากที่ผ่านมา โดยพัฒนาการบริการให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบให้บริการทางไกลสำหรับคนไข้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและคนไข้ที่มีความเสี่ยงต่ำโดยมีพยาบาลหรือเภสัชกรให้คำปรึกษาเบื้องต้น เพื่อลดความถี่ในการพบแพทย์ ปัจจุบันการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยประชาชนทั่วไปสามารถซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตที่ได้มาตรฐานสำหรับใช้วัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านและวัดให้สมาชิกในครอบครัวด้วย

“หลักการสำคัญ คือ ประชาชนทุกคนควรทราบระดับความดันโลหิตของตนเองและทราบว่าเมื่อใดควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา หากผลการวัดพบว่าความดันโลหิตมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มม. ปรอทถือว่ามีความดันโลหิตสูง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมินและติดตามรับการรักษาอย่างเหมาะสม ในยุคปัจจุบันสถานพยาบาลมีการปรับกระบวนการให้ง่ายและเร็วขึ้น เช่น ในรายที่ความเสี่ยงต่ำและอาการคงที่แล้วแพทย์อาจพิจารณาให้พยาบาลและเภสัชกรโทรสอบถามข้อมูลให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย หากไม่มีปัญหาใดๆ จะจัดส่งยาให้ทางไปรษณีย์ หรือผู้ป่วยเข้ารับยาภายหลังที่โรงพยาบาลได้ ซึ่งทางโรงพยาบาลศิริราชได้ เริ่มดำเนินการเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดการเดินทางทำให้คนไข้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น ได้รับบริการที่เร็วขึ้น ทำให้การยอมรับการรักษาของคนไข้ดีขึ้น” รศ.พญ.วีรนุช กล่าว

คนไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น

ที่ผ่านมาผลสำรวจผู้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทย ช่วงปี 2547 และ 2552 จะอยู่ที่ 21 เปอร์เซ็น ด้วยลักษณะสังคมที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาสู่สังคมเมืองที่ส่งผลให้เกิดความเครียดสูงขึ้น การรับประทานอาหารที่มีรสชาติเค็ม ประชาชนมีภาวะอ้วนมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มประชาชนเป็นโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มมากขึ้น โดยช่วงปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 25 เปอร์เซ็นและปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 25.4 เปอร์เซ็น ถึงแม้ตัวเลขสถิติผู้ป่วยฯ จะเพิ่มขึ้นไม่มากแต่เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรไทยทั้งหมด ที่เพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นเท่ากับประชากรป่วยเป็นโรคความดันโลหิตเพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 คน ซึ่งถือว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับ 20 ปีที่ผ่านมามีคนไทยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงประมาณ 10 ล้าน และปัจจุบันมีผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นเป็น 14 ล้านคน แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี

อย่างไรก็ตามข้อน่ากังวลวันนี้ คือ ประชาชนขาดความตระหนักถึงความสำคัญของการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองเป็นประจำทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่รู้ตัวว่าป่วย ซึ่งจากผลสำรวจผู้ป่วยที่กล่าวมาข้างต้นจำนวน 14 ล้านคนจะมีผู้ที่รู้ตัวว่าป่วยเพียง 50 เปอร์เซ็นจากผลสำรวจเท่านั้น และเนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการทำให้ผู้ที่ป่วยอีก 50 เปอร์เซ็นไม่ได้เข้ารับการรักษา และผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามีเพียงครึ่งหนึ่งที่สามารถควบคุมค่าความดันได้ตามเป้า ซึ่งปัจจุบันค่าความดันโลหิตปกติจะไม่เกิน 140 / 90 มิลลิเมตรปรอท และหากวิเคราะห์ผลกระทบของการมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในประเทศไทยจำนวนมาก ในแง่สังคมและเศรษฐกิจ หากละเลยจะทำให้ประเทศไทยมีผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากการรักษาโรคความดันโลหิตสูงแพทย์จะทำการนัดผู้ป่วยทุก 4-6 เดือนเพื่อรักษาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ป่วยต้องลางานไปพบแพทย์ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักและประชาชนมีค่าใช้จ่ายในระหว่างการรักษาทั้งค่ายา ค่าเดินทาง และอื่นๆ เกิดภาวะเครียดจากการอาการป่วย เป็นต้น

ถึงแม้ว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ ในมุมมองของผู้ป่วยที่ยังไม่แสดงอาการจึงเข้าใจว่าตนสบายดีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพบแพทย์และทานยาเนื่องจากกังวลว่าการทานยาโดยไม่มีความจำเป็นจะเกิดผลข้างเคียงและมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด และถึงแม้ว่าโรคความดันโลหิตสูงจะเป็นโรคที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด มีเพียง 5-10 เปอร์เซ็นเท่านั้นที่รักษาหายขาด โรคความดันโลหิตสูงแม้จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว ทำให้เกิดหลอดเลือดตีบเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต มีผลต่อหลอดเลือดหัวใจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและภาวะหัวใจวายเป็นหลักและส่งผลให้เกิดภาวะไตวาย สุดท้ายเมื่ออวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายเสียหมดผู้ป่วยจะเสียชีวิต หรือในกรณีผู้ป่วยอยู่ในระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนการรักษาจะยากขึ้น และต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชากรลดลง ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ”

นอกจากนี้ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณะสุขและสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2550-2562 ระบุว่าอัตราการเสียชีวิตของคนไทยที่เกิดจากภาวะไตวาย โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือภาวะเลือดออกในสมอง มีจำนวนเพิ่มขึ้น

บางสาเหตุเพิ่มขึ้นถึง 100 เปอร์เซ็น สำนักงานสถิติแห่งชาติรายงานว่าสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูงและภาวะเลือดออกในสมองจากประมาณ 30 รายเพิ่มขึ้นเป็น 50 ราย ต่อประชาชน 100,000 ราย ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นที่สูง ทำให้ภาพรวมเกี่ยวกับสถานการณ์โรคความดันโลหิตสูงในประเทศไทยไม่ดีนัก

เดินหน้าให้ความรู้ประชาชนดูแลตนเอง

ทางสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยมีความตระหนักเล็งเห็นถึงผลสำรวจที่มีอัตราผู้ป่วยเพิ่มขึ้นและเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดี สมาคมฯ จึงได้พยายามสร้างองค์ความรู้ให้แก่แพทย์เดิมมุ่งเป้าไปที่อายุรแพทย์ แต่เนื่องด้วยจำนวนอายุรแพทย์ในประเทศไทยมีจำนวนไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้น จึงมีการขยายองค์ความรู้ให้กับแพทย์ด้านอื่นทั้งแพทย์ทั่วไป แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว หรือแพทย์ด้านอื่นที่ดูแลผู้ป่วยนอก โดยให้ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคและเครื่องมือเทคโนโลยีในการตรวจวัดความดันโลหิตแบบใหม่ๆ และทันสมัย ให้ความรู้เกี่ยวกับยาชนิดใหม่ที่รวมตัวยาหลายชนิดไว้ใน 1 เม็ดสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะต้องทานยามากกว่า 1 ชนิดขึ้นไป เพื่อลดจำนวนเม็ดยาที่ต้องรับประทาน ซึ่งในปัจจุบันมียาที่สามารถรวมยา 2-3 ชนิดไว้ในเม็ดเดียววางขายอยู่ในท้องตลาดและราคาไม่สูงมากนักข้อมูลในต่างประเทศชัดเจนว่าในการใช้ยาลักษณะนี้จะทำให้ผู้ป่วยรับประทานยาง่ายขึ้น การยอมรับการรักษาทานยาและการลืมทานยาน้อยลง

นอกจากนี้ทางสมาคมฯ ยังทำงานเชิงรุกในภาคประชาชนโดยการทำงานร่วมกับภาคเอกชน มีการจัดทำเฟซบุ๊กเพจ “เพราะความดันต้องใส่ใจ #BecauseIsayso” เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงทำให้ประชาชนสามารถศึกษาเพิ่มเติมด้วยตนเอง มีการให้สัมภาษณ์หรือเขียนบทความให้ความรู้แก่ประชาชน รวมถึงการจัดงานวันความดันโลหิตสูงโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 17 พฤษภาคมของทุกปี มีการจัดกิจกรรมเสวนาให้ความรู้แก่ประชาชนในโรงพยาบาลต่างๆ และเวทีแลกเปลี่ยนความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงในแง่มุมต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์แก่ประชาชนและแพทย์ได้รับฟัง

สุดท้ายอยากฝากถึงโครงการตรวจคัดกรองความดันโลหิตสูง (May Measurement Month) ซึ่งสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศไทยร่วมมือกับสมาพันธ์ความดันโลหิตโลกทำงานรณรงค์ร่วมกันทุกปีในเดือนพฤษภาคม ปีนี้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ทางสมาคมฯ ขอความร่วมมือสำหรับผู้ที่มีเครื่องวัดความดันโลหิตอยู่ที่บ้าน หากมีความยินดีและสนใจให้ความร่วมมือกับทางสมาคมฯ เพื่อเก็บข้อมูลความดันโลหิตนำไปใช้ในการวิจัย สามารถ scan QR code เพื่อร่วมตอบแบบสอบถามสั้นๆ และรายงานผลความดันโลหิตของตนเองหรือสมาชิกในครอบครัว จำนวน 3 ครั้ง ซึ่งหากท่านใดวัดความดันโลหิต 3 ครั้งมีค่าเฉลี่ยมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าท่านอยู่ในเกณฑ์ความดันโลหิตสูง ขอแนะนำให้ท่านเข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลที่ท่านสะดวก นอกจากนี้ยังขอส่งมอบความรู้และคำแนะนำสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงก็จะแนะนำเรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและแนะนำเข้าสู่กระบวนการรักษาติดตามที่เหมาะสมต่อไป

แนวทางการปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีดังนี้

1.การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มหรือลดการกินเค็ม
2.ไม่ทานเยอะจนเกินไปจนเกิดโรคอ้วน รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์
3.ไม่สูบบุหรี่
4.ไม่ดื่มสุรา หรือหากดื่มควรจำกัดปริมาณ
5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
6.จัดการความเครียด
7.ผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไปควรตรวจวัดความดันโลหิตตนเอง

หากค่าความดันโลหิตสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนดควรพบแพทย์เพื่อเข้าสู่กระบวนการรักษา หรือได้รับการประเมินที่ถูกต้อง สำหรับระดับความดันโลหิต เหมาะสม <120/80 เริ่มสูง 120-139/80-89 เป็นโรคความดันโลหิตสูง >140/90 มม.ปรอท

มหาวิทยาลัยเซนต์จอร์จ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมียในประเทศไทย เนื่องในวันธาลัสซีเมียโลก

supersab

Recent Posts

AIS-True เปิดฉากระบบแจ้งเตือนภัย Cell Broadcast ทั่วไทย พร้อมปฏิบัติการทันทีเมื่อรัฐบาลสั่งการ

AIS และ True Corporation สองผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ ได้ประกาศความพร้อมในการเปิดใช้งานระบบแจ้งเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast และ SMS ครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมปฏิบัติการทันทีเมื่อหน่วยงานภาครัฐสั่งการ AIS: ระบบ Cell…

10 hours ago

ดีพร้อม-บางจากฯ ผนึก 5 พันธมิตรธุรกิจ ผลิต “น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน” 1 ล้านลิตรต่อวัน ดันไทยสู่ฮับการบินพลังงานสะอาด ชิงความได้เปรียบเศรษฐกิจโลก

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) ประกาศความร่วมมือครั้งประวัติศาสตร์ จับมือ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ 5 องค์กรธุรกิจยักษ์ใหญ่ของประเทศ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU)…

12 hours ago

ก.อุตฯ ผนึก World Bank เปิดเกมรุก “Industrial Decarbonization” ดันไทยสู่ Hub ลงทุนสีเขียว

“เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” เปิดเวที CEO Forum ชูแนวทาง Industrial Decarbonization ภายใต้โครงการ Low Carbon City หนุนผู้ประกอบการไทยลดคาร์บอน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมลดก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่อุปทาน…

15 hours ago

Tops เขย่าตลาด FMCG ปี 68 ทุ่ม 5,000 รายการ Own Brand ชูคุณภาพพรีเมียม ราคาโดนใจ ผนึกชุมชนโกอินเตอร์

ท็อปส์ (Tops) ประกาศศักดาผู้นำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ปี 2568 ทุ่มงบไม่อั้น พัฒนาพอร์ตสินค้า Own Brand ทะลุ 5,000 รายการ ชูจุดแข็งด้านคุณภาพระดับพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงได้…

16 hours ago

รฟม. แจ้งรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพู เปิดให้บริการเดินรถ สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) – สถานีตลาดมีนบุรี (PK29) และจัด Feeder รับ – ส่ง สถานีตลาดมีนบุรี (PK29) – สถานีมีนบุรี (PK30)

ตามที่ เกิดเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมา โดยแรงสั่นสะเทือนได้ส่งผลกระทบมาถึงกรุงเทพมหานคร ทำให้รถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู (MRT สายสีชมพู) ต้องงดให้บริการชั่วคราว เพื่อแก้ไขรางจ่ายไฟเพื่อความปลอดภัยในการเดินรถ นั้น จากการตรวจสอบพบว่าเกิดความเสียหายที่แผ่นปิดรอยต่อคานทางวิ่ง จำเป็นต้องซ่อมแซม ซึ่ง กระทรวงคมนาคม, กรมการขนส่งทางราง…

17 hours ago

“แสตมป์ กระจกเกรียบ” ศิลปะล้ำค่าแห่งสยาม ไปรษณีย์ไทยเปิดตัวแสตมป์ที่ระลึก วันอนุรักษ์มรดกไทย 2568 ดันไทยสู่สายตาโลก

ไปรษณีย์ไทย ได้เปิดตัวแสตมป์ที่ระลึกชุดพิเศษเนื่องในโอกาสวันอนุรักษ์มรดกไทย พุทธศักราช 2568 ด้วยการนำเสนอศิลปกรรมอันทรงคุณค่าที่กำลังจะเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ "กระจกเกรียบ" ศิลปะแห่งสยามประเทศที่มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์แต่กลับหาชมได้ยากยิ่งในปัจจุบัน โดยมีกำหนดการเปิดจำหน่ายทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน พุทธศักราช 2568 เป็นต้นไป ในราคาดวงละ…

17 hours ago

This website uses cookies.