กรณีของ “จ้าว ลู่ซือ” นางเอกสาวชาวจีนที่เผชิญกับภาวะเครียดอย่างหนัก จนส่งผลให้ร่างกายอ่อนแรงและการรับรู้ทางประสาทลดลง ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่าเธอป่วยเป็น “Conversion Disorder” ได้จุดประกายให้สังคมหันมาสนใจและทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้น แล้วโรคนี้คืออะไร? เกิดจากสาเหตุใด? และมีแนวทางการรักษาอย่างไร? วันนี้เรามีคำตอบจาก พญ.เพ็ญชาญา อติวรรณาพัฒน์ จิตแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช ศูนย์สุขภาพใจ รพ.วิมุต มาไขข้อข้องใจ
โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากปัญหาสุขภาพจิตเข้าไปรบกวนการทำงานของสมอง ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกาย เช่น ชา อ่อนแรง ตาพร่า เดินไม่ได้ หรือสูญเสียการได้ยิน โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้แกล้งทำ และไม่สามารถควบคุมอาการเหล่านี้ได้ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีความเครียด ความกดดัน หรือประสบการณ์เลวร้ายในชีวิต
พญ.เพ็ญชาญา อธิบายว่า “อาการป่วยนี้พบได้บ่อยในแผนกผู้ป่วยทั่วไป คนไข้มักมาด้วยอาการทางกายที่หลากหลาย แต่เมื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียดแล้ว กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นมาจากปัญหาสุขภาพจิต”
ในอดีต โรคนี้ถูกเรียกว่า “ฮิสทีเรีย” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นการแกล้งทำ หรือเรียกร้องความสนใจ แต่ปัจจุบัน วงการแพทย์ได้จัดโรคนี้ให้อยู่ในกลุ่ม Conversion Disorder โดยมีอาการแสดงที่คล้ายคลึงกัน เช่น พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ เป็นต้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น กรณีของทหารในช่วงสงครามโลก ที่ต้องเผชิญกับความเครียดและความกดดันอย่างหนัก จนเกิดอาการทางกายจากโรคนี้ หรือกรณีของวัยรุ่นที่ทะเลาะกับแม่ แล้วเกิดอาการพูดไม่ได้หลังจากกรีดร้อง
ทำความเข้าใจเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง
การวินิจฉัยอาการป่วยนี้ จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ เพื่อแยกแยะจากภาวะอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น Factitious Disorder (แกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจ) และ Malingering (แกล้งป่วยเพื่อผลประโยชน์)
พญ. เพ็ญชาญา เน้นย้ำว่า “หัวใจสำคัญในการรักษาอาการป่วยนี้ คือ ความเข้าใจ ทั้งจากตัวผู้ป่วยเอง คนรอบข้าง และบุคลากรทางการแพทย์ การวินิจฉัยที่ผิดพลาด อาจนำไปสู่การรักษาที่ไม่ถูกต้อง และทำให้อาการของผู้ป่วยแย่ลงได้”
แนวทางการรักษา
การรักษาอาการป่วยนี้ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น จิตบำบัด กายภาพบำบัด และการใช้ยา โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
“สิ่งสำคัญคือ ต้องให้กำลังใจผู้ป่วย และสร้างความมั่นใจว่าอาการจะดีขึ้น หลีกเลี่ยงคำพูดที่อาจกระทบกระเทือนจิตใจ เช่น ‘ตรวจแล้วก็ปกติ’ หรือ ‘คิดไปเองหรือเปล่า’ เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่ลง” พญ. เพ็ญชาญา กล่าว
สร้าง “Safe Zone” เพื่อเยียวยาจิตใจ
“อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า Conversion Disorder ทำให้เกิดความผิดปกติทางกายได้จริง ไม่ใช่การแกล้งทำ ตัวผู้ป่วยเองก็สับสนและกังวลกับอาการที่เกิดขึ้นมากอยู่แล้ว เราควรช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยการให้กำลังใจ รับฟัง และไม่กดดัน ควรให้เวลาในการรักษา เมื่อจิตใจของผู้ป่วยดีขึ้น อาการทางกายก็จะค่อยๆ หายไป” พญ. เพ็ญชาญา กล่าวทิ้งท้าย
เพราะสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญ หากคุณหรือคนใกล้ชิดกำลังเผชิญกับความเครียด หรือมีอาการผิดปกติทางร่างกายที่ไม่ทราบสาเหตุ อย่าลังเลที่จะ seeking professional help ขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง