KBank Private Banking(เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง) ร่วมกับ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จัดงานสัมมนาออนไลน์ “ทางรอดเศรษฐกิจไทย ในวิกฤตล็อกดาวน์ที่ไม่ล็อกดาวน์”จากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโควิด19ในระลอกใหม่ และผลกระทบทางเศรษฐกิจไทย พร้อมจับตาความเป็นไปของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย นโยบายเยียวยาและฟื้นฟูจากภาครัฐ รวมไปถึงโอกาสการลงทุนเพื่อคว้าผลตอบแทนกับหุ้นผู้ชนะ ที่ขานรับNew EconomyในยุคNew Normal
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์Private Banking Group Headธนาคารกสิกรไทยกล่าวว่า “จากการระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด19ส่งผลให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย รวมไปถึงภาคการส่งออกที่น่าจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมไปถึงข่าวคราวการมาถึงของวัคซีนป้องกันโรคโควิด19ว่าจะครอบคลุมประชากรไทยมากน้อยแค่ไหน การฉีดวัคซีนจะได้ผลดี และสามารถหยุดการแพร่ระบาดได้หรือไม่ และความหวังว่าจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ธนาคารฯ เข้าใจทุกๆ ความกังวลเป็นอย่างดี จึงร่วมกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยเพื่อเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เพื่อจะได้เตรียมตั้งรับในวิกฤตล็อกดาวน์ที่ไม่ล็อกดาวน์ในครั้งนี้”
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า “ความแตกต่างระหว่างการระบาดของโรคโควิด19ในรอบแรก และการระบาดระลอกใหม่ มีอยู่3ประเด็น คือ1) จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงกว่า2) การกระจายของผู้ติดเชื้อเป็นแบบวงกว้าง3) ต้นตอของการระบาดเกิดจากภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ มาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดก็แตกต่างออกไปด้วย โดยเป็นการล็อกดาวน์ที่ไม่ล็อกดาวน์ นั่นหมายถึงการล็อกดาวน์บางส่วน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างผลกระทบทางเศรษฐกิจและผลกระทบทางสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม จำนวนของผู้ติดเชื้อรายวันยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามว่าจะลดลงหรือจบภายใน60วันหรือไม่ ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบนี้จบได้เร็ว การเติบโตภายในประเทศในปีนี้ก็คงจะลดลงไม่มากนักจากที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินไว้ที่2.6%
สำหรับมาตรการที่ภาครัฐจะปล่อยออกมาเพื่อช่วยเหลือ ความสนใจยังพุ่งไปที่มาตรการเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค ที่ส่งผลให้การค้าขายไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ปัญหาที่เกิดในช่วงนี้คือรายได้ไม่เพียงพอ ในขณะที่มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเราเที่ยวด้วยกัน ช็อปดีมีคืน และ คนละครึ่ง ยังดำเนินควบคู่ไปด้วย โดยภาครัฐยังมีเม็ดเงินกว่า6แสนล้านบาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการเยียวยาและฟื้นฟูอย่างแน่นอน ทั้งนี้ ธนาคารมองว่า มาตรการภาครัฐยังมีความจำเป็นเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจเช่นเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก แม้ว่าหนี้สาธารณะจะมีโอกาสชนเพดานที่60% ของGDPก็ไม่น่ากังวล เพราะสามารถขยับกรอบได้ แต่ก็ต้องมีแผนที่จะลดภาระหนี้ลงในระยะกลางถึงยาว”
ด้าน นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า “สำหรับตัวเลขหนี้ภาคเอกชน หรือ หนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส3/2563อยู่ที่ประมาณ86.6% ของGDPซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นกว่า91% ณ สิ้นปีนี้ สำหรับตัวเลขหนี้ที่สูงขึ้นเกิดขึ้นในหลายประเทศ จากการที่GDPหดตัว-โตต่ำ และหนี้ไม่ได้ลดลงเพราะมีมาตรการช่วยเหลือ เพียงแต่โจทย์เฉพาะหน้ายังเป็นการช่วยลูกหนี้ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องจากปัญหาโควิด19อย่างไรก่อน ซึ่งทั้ง ธปท.และสถาบันการเงินกำลังพิจารณาอยู่ และสามารถต่ออายุมาตรการให้ความช่วยเหลือได้ เช่น การพักชำระหนี้ของลูกหนี้ที่เคยเข้าโครงการนี้มาแล้วได้ถึงกลางปีนี้ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารฯ มองว่ามีโอกาสที่จะลดจาก0.5% เป็น0.25% โดยเฉพาะหากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่จะต้องลดดอกเบี้ยไปจนถึง0% เพราะ ธปท. ยังมีอาวุธและกระสุนอื่นๆ นอกเหนือจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อนำไปสู่การลดภาระต้นทุนทางการเงินให้กับธุรกิจ ขณะที่ การฝากเงินที่ไม่ได้ดอกเบี้ย หรือต้องเสียเงินให้ธนาคารในการฝากเงินยังไม่เหมาะกับประเทศไทย
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท แม้ระยะนี้จนถึงอีก2สัปดาห์ข้างหน้า เงินบาทอาจมีแนวโน้มอ่อนค่าเล็กน้อยจากระดับปิดปลายปีที่29.95บาทต่อดอลลาร์ฯ จากข่าวเรื่องผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจเตรียมออกมาเพิ่มเติม แต่เงินบาทก็ยังมีแนวโน้มแข็งค่าได้ในระยะที่เหลือของปี เมื่อตลาดกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานดอลลาร์ฯ อาทิ การขาดดุลงบประมาณและดุลการค้า รวมถึงการทำQEของเฟด ส่วนการเทียบวิกฤตรอบนี้กับรอบปี2540นั้น ในครั้งนี้สถาบันการเงินแข็งแรงกว่า มีสภาพคล่องเพียงพอ แต่ก็ไม่ละเลยความเสี่ยงด้านคุณภาพหนี้ ขณะที่ด้านภาคธุรกิจและครัวเรือนกลับมีความเปราะบางจากปัญหาหนี้สะสมและขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ธนาคารฯ มองว่าในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส ซึ่งเกิดจากการเตรียมพร้อมล่วงหน้าและคว้าโอกาสเมื่อจังหวะมาถึง เช่น การพัฒนาMobile banking,Online shoppingรวมไปถึงFood deliveryซึ่งได้อานิสงส์จากช่วงล็อกดาวน์ เป็นต้น”
“ด้านข่าวคราวเรื่องวัคซีนป้องกันโควิด19ที่รัฐบาลไทยได้จัดซื้อวัคซีนจากจีนและอังกฤษจำนวน28ล้านโดสไว้แล้ว ซึ่งครอบคลุมประชากร14ล้านคน โดยในล็อตแรกนี้จะเริ่มทยอยฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และกลุ่มเสี่ยงก่อน และวางแผนซื้อเพิ่มอีก35ล้านโดส ซึ่งหากวัคซีนได้ผลดี และมีการทยอยฉีดจนครบในสิ้นปีนี้ถึงต้นปีหน้า จะทำให้ ประชากรไทยเกือบครึ่งหนึ่งจะได้รับวัคซีน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของคนในประเทศสูงขึ้น ภาคธุรกิจจะทยอยฟื้นตัว โดยเฉพาะการท่องเที่ยว แต่การฟื้นตัวคงไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิด19ในปีหน้า นอกจากนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคและการเว้นระยะทางสังคมยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นWork from homeการใช้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารในการทำงาน เป็นต้น ส่วนการเดินทางระหว่างประเทศยังต้องใช้เวลาอีก2-3ปี เป็นอย่างน้อยกว่าจะกลับมาฟื้นตัว
สำหรับตลาดหุ้นไทยในปีที่ผ่านมา เกือบจะมีผลตอบแทนรั้งท้าย เนื่องจากกลุ่มบริษัทในตลาดส่วนใหญ่ เป็นOld economyไม่ว่าจะเป็น กลุ่มพลังงาน ธนาคาร และ ค้าปลีก ซึ่งโครงสร้างตลาดหุ้น สะท้อนโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย อาจจะต้องใช้เวลาหลายปีในการปรับตัวให้ทันโลก ปัจจุบัน หลายบริษัทขนาดใหญ่ได้ปรับตัวเองให้เป็นGreenมากขึ้น ตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้องมากขึ้น และการมาถึงของรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle:EV) ส่งผลให้ประเทศไทยต้องมีกลยุทธ์ในการดึงดูดนักลงทุนที่มีเทคโนโลยีใหม่ หากต้องการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุคถัดไป”นางสาวณัฐพรกล่าวเสริม
“ธนาคารหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะค่อยๆ ลดลง วัคซีน63ล้านโดสสามารถทยอยฉีดได้ตามแผนที่รัฐคาดการณ์ไว้ได้อย่างรวดเร็ว เม็ดเงิน6แสนล้านที่รัฐบาลสามารถอุดหนุนผลกระทบที่เกิดจาการแพร่ระบาด บทเรียนของโควิด19ในครั้งแรก ทำให้รับมือได้ดีขึ้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยลง ภาคธุรกิจไทยเองก็ต้องปรับตัว ปรับเศรษฐกิจ เพื่อรับNew Normalด้วยNew Economyสุดท้ายนี้ ธนาคารยังมุ่งมั่นในการเป็นตัวกลางในการนำองค์ความรู้ เพื่อเรียบรู้ และ ปรับตัว พร้อมทั้งยังสร้างผลตอบแทนจากNew Economyได้จากการลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคตในต่างประเทศได้ อาทิ E-Commerce Artificial Intelligence Golden age Heath Careเป็นต้น”นายจิรวัฒน์กล่าวสรุป
ข่าวดีสำหรับคุณแม่! ไปรษณีย์ไทย จับมือ กรมอนามัย ยกระดับการส่งน้ำนมแม่ทั่วประเทศ ด้วยบริการ EMS ด่วนพิเศษ ฟรีค่าจัดส่ง ตอกย้ำสายใยรักจากอกแม่ สู่ลูกน้อยที่อยู่ห่างไกล หนุนเด็กแรกเกิดรับคุณค่าอาหารจากนมแม่เต็มที่ เริ่มแล้ววันนี้! บริษัท ไปรษณีย์ไทย…
Siam.AI Cloud สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยบนเวทีระดับโลก โดยเข้าร่วมงาน NVIDIA GTC 2025 พร้อมขึ้นกล่าวในหัวข้อสำคัญ "Empower the Ecosystem with Sovereign Foundation Models"…
โครงการ ‘Dynamic Cities via Mobility Data หลากชีวิตในเมืองที่โลดแล่น’ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย…
vivo ประกาศอย่างเป็นทางการถึงการเตรียมเปิดตัว vivo V50 Lite สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล V Series ที่มาพร้อมจุดเด่นอันแข็งแกร่งภายใต้แนวคิด “แบตอึด จนขอท้า” หรือ “BlueVolt Battery So…
เอปสัน ประกาศเปิดตัวการประกวดภาพถ่ายพาโนรามาระดับนานาชาติ "Epson International Pano Awards" ครั้งที่ 16 อย่างเป็นทางการ พร้อมเชิญชวนช่างภาพทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นจากทั่วโลก ส่งผลงานเข้าร่วมประชันฝีมือ เพื่อชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 50,000 เหรียญสหรัฐ การประกวดครั้งนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่…
Biztalk Gadget จะมา รีวิว TECNO CAMON 40Pro สมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 7,000 บาท ที่มาพร้อมดีไซน์บาง เบา กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68/69 กล้อง…
This website uses cookies.