นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยได้ลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้เป็นโตได้ 3.7 % จากเดิม 4 % สาเหตุสำคัญมาจากการที่ ประเทศไทยกำลังเผชิญสงครามเศรษฐกิจจากภายนอก และภายในประเทศ เปรียบได้ดังสงครามเศรษฐกิจ 9 ทิศ โดยเฉพาะสงครามการค้า จากกรณีที่ สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า โดยเฉพาะกับจีน เพื่อลดการขาดดุลการค้ามหาศาล และอาจถูกตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ทำให้การค้าโลกชะลอ กระทบการส่งออกไทยทั้งทางตรง และทางอ้อม จากการที่ไทยเป็นห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐ จีน และประเทศอาเซียน ซึ่งเป็นปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากปีนี้แนวโน้มเติบโตเศรษฐกิจมาจากภาคการส่งออก โดยคาดว่าจะโตได้ 7.4 % ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวยังเป็นอีก 1 กลไกหลักผลักดันเศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 37.8 ล้านคน
แต่สำหรับการลงทุนภาคเอกชน ยังโตช้า ผู้บริโภคชะลอรอดูสถานการณ์ความชัดเจนทางการเมือง จากการเลื่อนการเลือกตั้งเป็น กพ.ปีหน้า รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ก็ยังขาดความเชื่อมั่น ทำให้การลงทุนเอกชนปีนี้ น่าจะโตเพียง 2.5 %
ขณะที่ภาครัฐดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ และเบิกจ่ายไม่ได้เร่งไปกว่าที่คาดการณ์ แต่ยังถือเป็นอีก 1 กลไกสำคัญของภาคส่วนเศรษฐกิจในปีนี้โดยคาดว่าจะโตเพิ่มขึ้นที่ 10.2 %
นอกจากนี้ไทยยังต้องเผชิญ สงครามชนชั้น ที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจรอบนี้ เป็นการเติบโตบนความเหลื่อมล้ำ ผู้ได้ประโยชน์ คือ ธุรกิจขนาดใหญ่ และคนรายได้ระดับกลางถึงบนขึ้นไป ขณะที่กลุ่ม SME และคนระดับฐานราก ยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ รายได้ภาคเกษตรยังตกต่ำ สะท้อนภาพความแตกต่างทางรายได้ของคนไทย จึงอยากเห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตและกระจายตัวอย่างทั่วถึง ซึ่งคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะโตแค่ 3.1 %
ด้านความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจากปลายปีก่อน เป็นการแข็งค่าชั่วคราว คาดว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00 – 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า ส่วนดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 1.5 % อย่างไรก็ดีปลายปีจะเห็นแรงกดดันการขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้น จากปัจจัยเงินเฟ้อ เศรษฐกิจเติบโต ประกอบกับเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า