นายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานอาวุโส สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมีนายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล รองประธานกรรมการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย ร่วมในการแถลงข่าว
ระบุว่า เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน หลีกเลี่ยงการชะลอตัวรุนแรงได้ เศรษฐกิจโลกปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ที่ราว 3% ปรับตัวดีกว่าประมาณการเดิมเล็กน้อยตามคาดการณ์ของ IMF และ OECD เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่งแม้ดอกเบี้ยสูง และเศรษฐกิจจีนที่คาดจะมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในเดือนมกราคม ที่ดีขึ้น การส่งออกของไทยยังขยายตัวได้แต่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวประมาณ 2-3% ในปีนี้ ตามการฟื้นตัวของประเทศตลาดเกิดใหม่และวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อย่างไรก็ตาม ยังเผชิญความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์หลายปัจจัย ทั้ง (1) การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นหลายประเทศ ซึ่งอาจเกิดการปรับเปลี่ยนทางนโยบายสำคัญ (2) ผลกระทบจากสงครามที่ขยายวง โดยเฉพาะอิสราเอล-ฮามาสที่ส่งผลให้ค่าระวางเรือเพิ่ม และกระทบกับราคาพลังงาน และ (3) ปัญหาความไม่สงบในประเทศเพื่อนบ้าน และ (4) การแข่งขันกับสินค้าจีนในประเทศเพื่อนบ้าน
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้แต่ยังอ่อนแอ แม้ภาคการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจ แต่ภาคการผลิตหดตัวต่อเนื่อง ทำให้การฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่องเป็นสัญญาณความอ่อนแอของเศรษฐกิจในประเทศ ถือเป็นสัญญาณที่ควรติดตาม นอกจากนี้ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว ขณะที่สินค้าไทยหลายรายการเริ่มไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ของ กกร.
(ณ ธ.ค. 66) ปี 2566
GDP 2.5 ถึง 3.0
ส่งออก -1.0*
เงินเฟ้อ 1.2*
(ณ ม.ค. 67) ปี 2567
GDP 2.8 ถึง 3.3
ส่งออก 2.0 ถึง 3.0
เงินเฟ้อ 0.7 ถึง 1.2
(ณ ก.พ. 67) ปี 2567
GDP 2.8 ถึง 3.3
ส่งออก 2.0 ถึง 3.0
เงินเฟ้อ 0.7 ถึง 1.2
หมายเหตุ: *เลขจริง, ประมาณการ GDP ปี 2567 ยังไม่รวมผลของมาตรการ Digital Wallet
ที่ประชุมกกร.สนับสนุนการดำเนินมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเล็งเห็นว่าเป็นแนวทางที่สามารถช่วยแก้หนี้ให้กับประชาชนได้จริง แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และยั่งยืน ซึ่งจะได้มีความต่อเนื่องในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 โดยภายใต้แนวทางมาตรการ Responsible Lending จะช่วยเหลือลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้เสีย ระหว่างเป็นหนี้เสีย มุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง และรายได้ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอในการดำรงชีพ โดยขอให้ ธปท. ติดตามประเมินผลกระทบของมาตรการต่อการเข้าถึงสินเชื่อด้วย เนื่องจากบางส่วนมีความจำเป็นต่อการดำรงชีพและการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ทางการเงิน สร้างวินัยทางการเงินที่ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการวางแผนจัดการการเงินที่เหมาะสม ใช้สินเชื่อเท่าที่จำเป็นและตรงวัตถุประสงค์ ไม่ก่อหนี้เกินตัว ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่เป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศได้อย่างยั่งยืน
เพื่อให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนยั่งยืน ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับรายได้ และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานาน สะท้อนจากรายงานของ World Economic Forum ล่าสุดที่บ่งชี้ว่า ไทยยังทำได้ไม่ดีนักจากการจัดอันดับด้าน Future of Growth โดยจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงความเหลื่อมล้ำ (Inclusiveness) ความยั่งยืน (Sustainability) และความยืดหยุ่น (Resilience) ที่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องเร่งขจัดความแตกต่างทางรายได้ระหว่างกลุ่มต่างๆ รวมถึงลดขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบลง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยภาคธุรกิจจะต้องเร่งยกระดับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพ ตลอดจนส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมกับธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืนและทั่วถึง
กกร. มีความกังวลกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดในประเทศไทย และในตลาดอาเซียน ทั้งจากสินค้าออนไลน์ (E-commerce) และการเข้ามาใช้ประโยชน์จาก Free Trade Zone เพื่อขายสินค้าในประเทศ รวมถึงการลักลอบนำเข้าสินค้าผ่านด่านศุลกากรโดยการสำแดงข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ประเด็นเหล่านี้ ทำให้สินค้าราคาถูกรวมถึงสินค้าที่ไม่มีมาตรฐานทะลักเข้าตลาดภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ ดังนั้น กกร. จึงเสนอขอให้ภาครัฐพิจารณาทบทวนข้อยกเว้นการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับผู้ประกอบการไทย มีการทบทวนนโยบายและเงื่อนไขในการใช้สิทธิประโยชน์ใน Free Trade Zone รวมทั้ง การออกมาตรการปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ เช่น การนำมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนตลาด (Anti-Circumvention: AC) มาบังคับใช้ การเพิ่มความเข้มงวดการตรวจจับสินค้าที่นำเข้าผ่านด่านศุลกากร และการเร่งออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมให้ครอบคลุม เป็นต้น
จากเป้าหมายของภาครัฐ ที่ต้องการให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศในปี 2567 ที่จำนวน 35 ล้านคน ซึ่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศกว่า 3 ล้านคน สร้างเม็ดเงินกว่า 1.7 แสนล้านบาท ทำให้เกิดแรงหนุนทางเศรษฐกิจผ่านการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม กกร. มีความกังวลต่อความหนาแน่นของจำนวนนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวบางพื้นที่ เช่น ภูเก็ต จึงขอเสนอให้ภาครัฐช่วยจัดระเบียบ ช่วยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้เกิดการท่องเที่ยวตามเมืองรองต่างๆ เพื่อลดความหนาแน่นและช่วยกระจายรายได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งควรกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เกิดการใช้จ่ายต่อหัวให้มากขึ้น
ประเด็นข้อเสนอเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้างต่อการพัฒนาประเทศ โดยอุตสาหกรรมก่อสร้างสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม 2.6% ของ GDP ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมก่อสร้างยังมีความสำคัญในด้านการจ้างงานที่สำคัญ และมีสัดส่วนการจ้างงานมากกว่า 2 ล้านคน แต่ปัจจุบันปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างก่อสร้างภาครัฐ ทำให้ภาคเอกชนไทยไม่สามารถแข่งขันได้เต็มศักยภาพ และหลายส่วนยังต้องได้รับการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น การอ้างอิงราคาในอดีตไม่สะท้อนต้นทุนจริง เน้นราคาต่ำ กระบวนการการจัดชั้นและการคัดเลือกยังเป็นอุปสรรคต่อการแข่งขัน การเบิกจ่ายเงินมีความล่าช้า ดังนั้นภาคเอกชนจึงมีข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาการจัดจ้างงานก่อสร้างภาครัฐ