นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนมกราคม 2562 ว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่สามติดต่อกันอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว (Neutral) เช่นเดิม โดยผลสำรวจพบว่านักลงทุนกังวลความเสี่ยงจากนโยบายทางการค้าของสหรัฐ การไหลเข้าออกของเงินทุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยนักลงทุนเชื่อมั่นสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน”
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนมกราคม 2562 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มีนาคม 2562) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) เช่นเดิม (ช่วงค่าดัชนี 120 – 159) โดยลดลง 5.25% มาอยู่ที่ระดับ 92.75
- ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนรายบุคคลปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 39 เดือนอยู่ที่ Zone ซบเซา (Bearish)
- ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ที่ Zone ทรงตัว (Neutral)
- ดัชนีความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ใน Zone ร้อนแรง (Bullish)
- ดัชนีนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ลดลงมาอยู่ใน Zone ทรงตัว (Neutral)
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางการเมือง
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณืความขัดแย้งระหว่างประเทศ
“ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนธันวาคม เคลื่อนไหวปรับตัวลดลงตลอดเดือน จากระดับสูงสุดที่ 1672 จุด มาต่ำสุดที่ 1548.37 จุด ก่อนมาปิดที่ 1563.88 จุด จากความกังวลผลกระทบการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังไม่คืบหน้า การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายชองสหรัฐ 0.25% มาอยู่ที่ 2.00-2.25% การประกาศยุติมาตรการ QE ของ ECB การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และการปรับลดคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยและโลกปี 2562 ทั้งนี้ ทิศทางการลงทุน ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนมาจากปรับขึ้นนโยบายทางการเงินของสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ความกังวลต่อสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง เป็นปัจจัยความเสี่ยงที่นักลงทุนติดตามมากที่สุด
ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นเศรษฐกิจในประเทศจากการเข้าสู่การเลือกตั้ง และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน กลุ่มหลักทรัพย์ที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด คือหมวดธนาคาร (BANK) หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) และหมวดพาณิชย์ (COMM) ขณะที่มองว่าหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ (MEDIA) หมวดเหล็ก (STEEL) และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) ไม่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด นอกจากนี้ ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ความคืบหน้าการเจรจานโยบายทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน การปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐลงเหลือ 2 ครั้งในปี 2562 การโหวตข้อตกลง Brexitในสภาอังกฤษในเดือน ม.ค. และเศรษฐกิจโลกที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลง รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยภายหลังการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี และการเข้าสู่การเลือกตั้งที่กำลังมีขึ้นในช่วงต้นปี 2562”