นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) กล่าวปาฐกถา ไขข้อข้องใจ PDPA ในทุกมิติ โดยกล่าวว่า พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีเป้าประสงค์ในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน เพื่อไม่ให้ถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม แต่เพื่อลดภาระของภาคธุรกิจ ก็ได้มีข้อผ่อนผัน (ยกเว้น) สำหรับธุรกิจ SMEs ยังไม่ต้องเข้าข้อกำหนดเรื่องการลงทุนตามข้อบังคับ PDPA เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการลงทุนระบบ แต่ตามกฎหมายก็ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งหาก SMEs ไม่ดูแลข้อมูลของลูกค้าไม่ดี มีการลักลอบซื้อขายข้อมูลโดยมิชอบ ก็ยังต้องรับโทษตามกฎหมาย รวมไปถึงหน่วยงานรัฐ และ พรรคการเมือง หากปล่อยให้มีข้อมูลรั่วไหลก็มีความผิดเช่นกัน ขณะนี้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า การที่ SMEs จะไปวางระบบไอทีเพื่อรองรับ PDPA เหมือนกับบริษัทยักษ์ใหญ่จะเป็นภาระด้านค่าใช้จ่าย และอาจจะปรับตัวไม่ทัน ซึ่งทางรัฐบาลโดยคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้ออกประกาศยกเว้นให้ SMEs ที่มีพนักงานไม่เกิน 50 คน และมีรายได้ไม่เกินปีละ 100 ล้านบาท ยังไม่ต้องทำตามข้อกฎกำหนดทั้งหมด
–กสทช. ย้ำความสำคัญ PDPA พร้อมสร้างแอปฯช่วยดูแลความปลอดภัย และสิทธิด้านข้อมูลของผู้ประกอบการ
–EasyPDPA ผนึก ขายหัวเราะ เปิดตัวหนังสือ “PDPA ฉบับเข้าใจง่าย” การ์ตูน 4 สีเล่มแรกของไทย
สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลจำนวนมาก หรืออาจจะมีผลกระทบต่อประชาชน เช่น ค่ายมือถือ บริษัทอีคอมเมิร์ซ ธนาคาร ประกันภัย บริษัทเหล่านี้มีระบบป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลกันอยู่แล้ว และมีหน้าที่เก็บข้อมูลเป็นอย่างดีตามกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งการออกกฎหมาย PDPA ก็จะช่วยให้ครอบคลุมกับทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องได้
แต่ไม่ได้หมายความว่า SMEs จะไม่ยอมทำและไม่สนใจกฎหมาย เพราะหากปล่อยให้มีการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การปล่อยให้พนักงานนำข้อมูลไปขาย หรือนำไปใช้เชิงละเมิดสิทธิ์ของลูกค้า ก็ยังมีความผิดอยู่ ซึ่งบริษัทจะต้องทำความเข้าใจกับพนักงานผ่านการอบรม และมีมาตรการการทำงานที่รัดกุม คนที่เข้าถึงข้อมูลได้จะต้องมีรหัสผ่าน หรือการจะนำข้อมูลออกไปนอกบริษัทจะต้องผ่านการตรวจสอบและเข้ารหัสข้อมูลเป็นอย่างดี รวมถึงเอกสารข้อมูลลูกค้าที่ไม่ได้ใช้ก็จะต้องทำลายทิ้ง
สำหรับการผ่อนผันให้ SMEs ในครั้งนี้ เป็นการผ่อนผันอย่างไม่มีกำหนด แต่หากในอนาคตเราเห็นว่ามีความพร้อมที่จะทำได้ ก็จะประกาศอีกครั้ง
นายชัยวุฒิ ยังกล่าวเสริมในตอนท้ายว่า สำหรับบทลงโทษของผู้กระทำผิด ในช่วงแรกนั้นจะเน้นการไกล่เกลี่ยมากกว่าการบังคับโทษตามกฎหมาย โดยจะดูว่ามีเจตนาหรือไม่
