คริปโทเคอร์เรนซี เป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ในปี 2021 ที่ผ่านมา Market Cap เติบโตจาก 4 แสนล้านดอลลาร์ ขึ้นไปเป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเติบโตเกือบ 10 เท่า ด้านจำนวนคนเปิดกระเป๋าสตางค์ทั่วโลกยังสูงขึ้นเรื่อยๆ ใน 8 ปี แรกคนเปิดกระเป๋าสตางค์ทั้งหมด 28 ล้านคน แต่ใน 2 ปีหลังนี้มีคนเปิดกระเป๋าสตางค์เพิ่มขึ้นถึง 22 ล้านคน รวมเป็น 50 ล้านกระเป๋าสตางค์ทั่วโลกแล้ว
“ภายใน 5 ปีข้างหน้า จะมีกระเป๋าสตางค์ถึง 1000 ล้าน หรือ 1 ใน 7 ของประชากรทั้งโลก และคนต้องใช้คริปโทเคอร์เรนซีทั้งทางตรงหรือทางอ้อมโดยที่ไม่รู้ตัว” ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และ กรุ๊ป ซีอีโอ บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ Bitkub ให้สัมภาษณ์กับ Biztalk
–“เมตาเวิร์ส สมาร์ทโฮม รถยนต์ไฟฟ้า แวร์เอเบิล” 4 เทรนด์เทคโนโลยีน่าจับตามองในปี 2022
–การ์ทเนอร์ คาดเทรนด์ใหญ่กระทบองค์กรไอที ผู้ใช้ในปี 2565 และอนาคต
ท็อป-จิรายุส กล่าวต่อว่า แต่เมื่อเทียบกับ Financial Asset ทั่วโลก คริปโทเคอร์เรนซียังถือว่าเล็กอยู่ ซึ่ง Market Cap ของ Financial Asset ทั่วโลกอยู่ที่ 500 ล้านล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นการลงทุนหุ้นทั่วโลก 7 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นของตราสารเงิน 100 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่วงการคริปโทเคอร์เรนซีมีแค่ 3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งยังไม่ถึง 1%
เชื่อตลาดคริปโทเคอร์เรนซีไทย โตเท่าตัวในปี 65
ท็อป-จิรายุส เชื่อว่า ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในไทยจะโตแบบยกกำลัง และปีนี้จะเป็นการมาของ Central Bank Digital Currencies (CBDC) รวมถึง ดิจิทัลบาท ก็กำลังจะออกมาในไตรมาส 2 หรือ 3 นี้
ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ก็กำลังจะสร้างตลาดการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ธนาคารต่างๆ จะเข้ามาในวงการ สินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น เป็นการเปลี่ยนคนที่อยู่ในโลกสินทรัพย์เดิมเข้ามาในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ประกอบกับเงินของสถาบันที่มีมากกว่ารายย่อยหลายเท่า ซึ่งก็คาดว่าน่าจะเข้ามาสู่ตลาดในปี 65 นี้
ด้าน Bitkub เปิดมา 4 ปี เป็นเว็บไซต์การเงินที่คนไทยเข้ามากที่สุดในประเทศถึง 10 ล้านคนต่อเดือน มีจำนวนการเปิดบัญชีถึง 340,000 บัญชี มีเงินที่ลูกค้าฝากไว้ที่บัญชีเราประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดเทรดที่พีคที่สุดอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของตลาดหลักทรัพย์ไทย
“เราเป็นบริษัทที่โตเฉลี่ย 1000% ทุกปีตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เราก็มองว่าในอนาคตมันจะโตแบบยกกำลัง ที่ผ่านมาเราก็ได้เข้าไปสนับสนุนวงการมิสยูนิเวิร์ส วงการฟุตบอลไทยลีก เราจะนำบล็อกเชน และ สินทรัพย์ดิจิทัล เข้ามาในวงการ Real Sector มากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะโตได้อีกเท่าตัวจากปีที่แล้ว จะมี user เข้ามาเปิดบัญชีรวม 7-8 ล้านคน”
เร่งผลักดันกฎหมาย ก่อนเป็นอุปสรรคการเติบโต
สำหรับความท้าทายที่จะเข้ามาเบรคความร้อนแรงของสินทรัพย์ดิจิทัล ท็อป-จิรายุส มองว่า เป็นเรื่องความไม่เข้าใจโลกอนาคต ไม่ว่าจะเป็นคริปโทเคอร์เรนซี NFT หรือ บล็อกเชน ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก Web 3.0
โลกอินเทอร์เน็ตจะเข้าสู่ยุคสามมิติ (3D) จะมี AR และ VR เข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น มี Metaverse ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะอยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง และมีคริปโทเคอร์เรนซี, NFT, บล็อกเชน, AI เข้ามาทำงานร่วมกันโดยซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง
สิ่งที่ Bitkub ทำลังทำอยู่ คือ เป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Web 3.0 ให้กับประเทศไทย ที่มีทั้ง Digital Asset Exchange มี Bitkub Chain ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานให้คนไทยสามารถทำ Asset Tokenization ได้ เช่น บริษัท RS ที่มาสร้างเหรียญ Popcoin กับ Bitkub Chain
นอกจากนี้ยังมี NFT Marketplace ให้คนไทยสามารถซื้อขายได้ มี Bitkub Academy ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการการศึกษา และจะมีโมเดลใหม่ๆ เช่น Learn to earn เรียนแล้วได้เงิน Listen to earn ฟังเพลงแล้วได้เงิน Exercise to earn ออกกำลังกายแล้วได้เงิน จะเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับโลกใหม่ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ด้านอุปสรรค ท็อป-จิรายุส มองว่า การที่กฎหมายเกิดไม่ทันเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทุกยุคทุกสมัย เพราะต้องใช้เวลาในการปรับตัว ทั้งนี้ประเทศไหนที่มีกฎหมายสอดคล้องกับโลกอนาคตก่อน ก็จะได้โอกาสมหาศาล เม็ดเงินจะไหลเข้ามาในประเทศเหล่านั้น คนเก่งจะไหลเข้าไปในประเทศนั้น GDP ก็จะเติบโต และเกิดบริษัทที่จะเปลี่ยนโลกในประเทศนั้นๆ ด้วย
“ยุคนี้เป็นยุคที่จะต้องจับมือกัน ไม่ใช่เพียงแค่หน่วยงานของตนเองดู KPI ของตัวเอง แต่ต้องมี Global KPI จะต้องร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ให้ความรู้ความเข้าใจเข้าถึงทุกคน จะทำอย่างไรให้คนเข้าถึงชุดข้อมูลที่มันถูกต้องเหมือนกันให้ได้ ซึ่งทุกคนหวังดีกับประเทศหมด แต่ปัญหาคือเราเข้าใจกันคนละข้อมูล”
ท็อป-จิรายุส กล่าวต่อว่า ทุกอย่างต้องเปลี่ยนไปให้เร็วขึ้น ให้ทันโลก ถ้าช้าจะถูกผลักให้นวัตกรรมไปเกิดในต่างประเทศ และกลับมาให้บริการกับคนไทย เงินถูกดึงออกไปจากประเทศเพราะเราเป็นได้เพียงผู้ใช้ เป็นเมืองขึ้นของเทคโนโลยี เพราะกฎหมายหลายๆ ตัวตามไม่ทัน ประเทศไทยจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้บริษัทของคนไทยมีความแข็งแกร่งและไปให้บริการกับต่างชาติได้ และดึงเงินเข้ามาในประเทศไทย
คนไทยเข้าใจสินทรัพย์ดิจิทัลน้อย
“ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเราเป็นผู้ให้ความรู้ควบคู่กับการทำธุรกิจ และน่าจะเดินสายไปให้ความรู้มากกว่า 1 พันเวที ทั้งกับหน่วยงานต่างๆ มหาวิทยาลัย สถาบันการเงิน ให้มีความรู้ความเข้าใจและปรับตัวกัน” ท็อป-จิรายุส กล่าว
ปัจจุบันมีคนที่เข้าใจสินทรัพย์ดิจิทัล ประมาณ 5% ของประชากรไทยทั้งประเทศ ซึ่งมันยังโตได้อีกมากๆ
สำหรับมือใหม่ที่จะเข้ามาในตลาด ท็อป-จิรายุส แนะนำว่า จะต้องดูความพร้อมของตัวเองเป็นอย่างแรก เพราะความพร้อมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าไปดูคนอื่นที่ร่ำรวยจากการเทรดคริปโทฯและนำมาลอกเลียนแบบ
จะต้องศึกษาตั้งแต่เรียนรู้การซื้อขาย เก็บเหรียญอย่างไรให้ปลอดภัย วิธีเติมเงินถอนเงิน Public key คืออะไร จะต้องรู้ว่ากำลังซื้อขายอะไรอยู่
อีกเรื่องหนึ่ง คือ อย่านำเงินร้อนมาลงทุน อย่าขายบ้าน ขายรถ หรือกู้คนอื่นมาลงทุน เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง อะไรที่มันขึ้นเร็วมันก็ลงเร็วเช่นกัน ถ้าใครที่เคยซื้อขายหุ้นและขาดทุน 10% จะนอนไม่หลับ อย่าเข้ามาในวงการนี้ เพราะวงการนี้การขึ้นลง 20% ต่อวันถือเป็นเรื่องปกติมาก
“เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจก่อนว่า เราเป็นนักลงทุนประเภทไหน เรารับความเสี่ยงได้ขนาดไหน องค์ประกอบเหล่านี้เมื่อรวมกันก็จะบอกเราได้ว่าเรามีความพร้อมหรือไม่”
คาด NFT Game เทรนด์ของปี 65
ท็อป-จิรายุส คาดการณ์ว่า ในภาพรวมของปี 65 NFT Game น่าจะเป็นเทรนด์ที่มาแรง GameFi , Crypto Game น่าจะเติบโตสูง หรือแม้แต่ NFT Product ก็จะโตมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีพวกโมเดลธุรกิจ Learn to earn , Play to earn เกิดขึ้นมามากมาย
นอกจากนี้จะเห็นสถาบันการเงินเข้ามาเล่นในตลาดนี้มากขึ้น เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป การมาของแบงก์ชาติ ที่จะออก CBDC ในหลายประเทศ รวมถึงการเปิดตัวเหรียญ Stable Coin ของแต่ละประเทศ
ด้านแบงก์พาณิชย์จะเข้ามาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของสินทรัพย์ดิจิทัล หรือแม้แต่กองทุน ก็จะมี Index Fund, Mutual Fund, ETF ที่เกี่ยวของกับสินทรัพย์ดิจิทัล เกิดขึ้นมากเรื่อยๆ
ภาพประกอบจาก unsplash