นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า พัฒนาการทางเทคโนโลยี ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ระบบการเงินของประเทศในหลายมิติ ทั้งด้านผู้เล่น รูปแบบการให้บริการทางการเงินและ ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมทั้งความสัมพันธ์ของผู้เกี่ยวข้อง ซึ่ง ธปท. เห็นความจำเป็นของการสนับสนุนให้ระบบ การเงินปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถนาเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการเงินอย่างเต็ม ศักยภาพมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินโดยต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพของบริการ ทางการเงินและลดภาระให้แก่ผู้บริโภค
ทั้งนี้ บทบาทของ ธปท. ในฐานะผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน จำเป็นต้อง ปรับให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรักษา สมดุลระหว่างการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินกับการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อไปยังประชาชน และธุรกิจผู้ใช้บริการทางการเงินโดยเฉพาะธุรกิจ ขนาดกลางและเล็กได้มากขึ้น ธปท. จึงได้นำกระบวนการออกกฎเกณฑ์ที่ดีหรือ Regulatory Impact Assessment (RIA) มาใช้เพื่อปรับหลักคิดในการกำกับดูแลและเปลี่ยนกระบวนการทางานให้สอดรับกับ สภาพแวดล้อมใหม่ ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากการปฏิรูปกฎเกณฑ์การควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา
สำหรับ ในปี 2561 นี้ ธปท. เห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการทางการเงิน การปฏิรูป กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องจึงมุ่งเน้นไปที่ (1) การส่งเสริมบริการทางการเงินด้านดิจิทัล และ (2) การสนับสนุน บริการทางการเงินสาหรับ SMEs เพื่อให้ประชาชนและธุรกิจ SMEs ได้รับประโยชน์จากบริการทางการเงินที่ หลากหลายขึ้น มีนวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และเข้าถึงบริการทางการเงินได้ดี ขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง โดยที่ ธปท. จะยังได้รับข้อมูลต่างๆ จากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการติดตามดูแลรักษา เสถียรภาพของระบบการเงินและดูแลคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินอย่างเหมาะสม
“กว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ธปท. ได้ร่วมกับคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากสถาบันการเงินและ ภาคธุรกิจต่างๆ หารือแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในการทาธุรกิจและการเข้าถึงบริการ ทางการเงิน และร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนะในการส่งเสริมบริการทางการเงินด้านดิจิทัลและการสนับสนุน บริการทางการเงินสำหรับ SMEs เพื่อให้การปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลเป็นประโยชน์แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อย่างแท้จริง ซึ่งในการดำเนินการได้มีการนำเครื่องมือ Data analytics มาช่วยวิเคราะห์ประเด็นปัญหาของ กฎเกณฑ์ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อเรื่องดังกล่าวด้วย” นายวิรไท กล่าว
นายวิรไท กล่าวว่า การปฏิรูปกฎเกณฑ์กำกับดูแลสถาบันการเงินในครั้งนี้ มุ่งที่จะช่วยให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการ ทางการเงินคล่องตัวในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ 4 มิติ หรือ 4S คือ ผลักดันนวัตกรรมและบริการ ทางการเงินได้รวดเร็วขึ้น (speed) ให้บริการได้ในขอบเขตที่กว้างและในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น (scope) สามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายและกว้างขึ้น (scale) และช่วยดึงศักยภาพของสถาบัน การเงินและผู้ให้บริการต่างๆ มาใช้ร่วมกันในการยกระดับการให้บริการให้ดีขึ้น (sharing) ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผล ให้ผู้ใช้บริการทางการเงินได้รับบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของตนได้ดีขึ้น
สิ่งที่สำคัญในการปฏิรูปกฎเกณฑ์ในการส่งเสริมบริการทางการเงินด้านดิจิทัล ได้แก่
(1) ผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาต สำหรับการใช้เทคโนโลยีและการให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ เช่น การใช้เทคโนโลยี Cloud computing การเปลี่ยนระบบ Core banking หรือการให้บริการ Platform กับ strategic partners โดยให้สถาบันการเงิน สามารถดำเนินการได้เองภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงและการดูแลผู้บริโภคที่เหมาะสมตามที่ ธปท. กาหนด ซึ่งจะเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงิน และลดเวลา การนำเสนอบริการทางการเงินใหม่ๆ (time to market)
(2) ปรับปรุงแนวทางของ Regulatory Sandbox ให้ มีประสิทธิภาพขึ้น โดยสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินต้องนานวัตกรรมเข้าทดสอบกับ ธปท. เฉพาะ กรณีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน / มาตรฐานกลาง (common infrastructure / standard) เช่น มาตรฐาน QR code ที่จบการทดสอบไปแล้วก่อนหน้า หรือในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องเข้าทดสอบใน Regulatory Sandbox เช่น การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลของสถาบันการเงิน และ
(3) สนับสนุนให้สถาบันการเงินใช้เทคโนโลยี Biometrics อย่างเต็มรูปแบบในการพิสูจน์ตัวตนลูกค้า เพิ่มความสะดวกไม่ต้องไปสาขาสามารถเปิดบัญชีได้ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เช่น โทรศัพท์มือถือ โดยปลอดภัยในการยืนยันตัวตนรองรับโครงการ National Digital ID
ส่วนสิ่งที่สำคัญในการปฏิรูปกฎเกณฑ์ในการสนับสนุนบริการทางการเงินสำหรับเอสเอ็มอี ได้แก่
(1) ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม Information-based lending โดยผ่อนคลายข้อจำกัดด้านวงเงินตามจำนวนเท่าของรายได้สำหรับสินเชื่อ ส่วนบุคคลที่ให้แก่ SMEs บุคคลธรรมดาที่กู้เพื่อทำธุรกิจ และผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการพิจารณา ความสามารถในการชำระหนี้ ให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินสามารถพัฒนาแบบจำลองในการ ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของ SMEs โดยใช้ข้อมูลอื่นๆ (alternative data) ประกอบกับข้อมูล รายได้ของ SMEs เพื่อให้ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนให้ SMEs สามารถใช้ข้อมูล ความน่าเชื่อถือด้านเครดิตจากแหล่งอื่นๆ ประกอบการยื่นขอสินเชื่อได้ โดยเฉพาะคะแนนเครดิตจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จากัด (NCB) และ
(2) ผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการประเมินราคาหลักประกัน โดยให้ SMEs และบุคคลธรรมดาสามารถใช้เอกสารประเมินหลักประกันฉบับเดียวในการยื่นขอสินเชื่อหรือ refinance สินเชื่อกับสถาบันการเงินหลายแห่งได้โดยไม่ต้องประเมินราคาหลักประกันใหม่ หากระยะเวลาการประเมินอยู่ ในกรอบที่สถาบันการเงินกำหนด และให้สถาบันการเงินสามารถประเมินราคาหลักประกันโดยไม่ต้องออกไป สถานที่จริง โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกค้า
นอกจากนี้ ยังได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานของ ธปท. และข้อกำหนดที่มีต่อผู้ให้บริการทางการ เงินเพื่อรองรับการเข้าสู่ยุคดิจิทัลด้วย โดยในส่วนของสถาบันการเงิน ธปท. ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การจัดเก็บ เอกสารของสถาบันการเงินที่มีประกาศที่เกี่ยวข้องมากกว่า 50 ฉบับ โดย
(1) ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้ ข้อมูลต่างๆ แก่ผู้ใช้บริการทางการเงินในรูปแบบของเอกสาร เช่น การปิดประกาศอัตราดอกเบี้ยที่ที่ทาการ สาขา แต่ยังคงต้องอำนวยความสะดวกในการเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ใช้บริการหากมีการร้องขอข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และ
(2) ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือการส่งเอกสารตัวจริงเพื่อการตรวจสอบของธปท. โดยให้สถาบันการเงินจัดเก็บเอกสารและเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ ปรับปรุงกระบวนการยื่นขออนุญาตต่อ ธปท. ในรูปแบบ One-stop service โดยการขออนุญาตจากสถาบัน การเงินและผู้ให้บริการทางการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. สามารถยื่นขออนุญาตผ่านช่องทาง ระบบ e-Application ได้ที่จุดเดียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว และยังลดความซ้ำซ้อนใน กระบวนการขออนุญาตด้วย
ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์และกระบวนการต่างๆ ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยให้สถาบันการเงินและ ผู้ให้บริการทางการเงินลดระยะเวลาการพัฒนานวัตกรรมและนำเสนอบริการทางการเงินใหม่ๆ ลงได้แล้ว ยังคาดว่าจะช่วยประหยัดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ลงได้ถึงประมาณ 1,100 ล้านบาทต่อปี และในส่วนของ SMEs นั้น นอกจากจะเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนโดยรวมที่ SMEs ต้องชำระสาหรับการประเมินราคาหลักประกันลงได้ประมาณ 500 ล้านบาทต่อปีการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างดำเนินการซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2562