นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา ตลาดการลงทุนได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้มีความผันผวนในระยะนี้ แต่โดยรวมเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังคงเติบโตได้ดีจากการลดภาษี ซึ่งคาดว่าจะดีต่อเนื่องจนไตรมาสแรกของปีหน้า ส่วนในประเทศไทยเองก็ยังคงเติบโตได้ จากเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แม้ว่าดุลการค้าจะเริ่มขาดดุล แต่พบว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังอยู่ในระดับสูงถึงกว่า 2 แสนล้านดอลล่าร์ หนี้ต่างประเทศและอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ และสภาพคล่องในระบบยังอยู่ในระดับสูง อีกทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากสัญญาณการเลือกตั้งที่ชัดเจนขึ้น ทำให้มองว่าสามารถทะยอยเข้าลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากเงินปันผลได้
ในส่วนของตลาดอสังหาฯ ในประเทศเองก็ยังคงมีความน่าสนใจ แม้ FED จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ผ่านมายังมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศไว้ และยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เพื่อช่วยสนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจและสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่มีความกังวลพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่เสี่ยงขึ้น (Search for yield) ทำให้โอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมีมากขึ้น เพื่อดำเนินนโยบายลด Policy Space คาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไทยจะขึ้นไม่แรงเหมือน FED โดยคาดว่า 1 ปีข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยจะขึ้น 0.5%
โดย บลจ.ธนชาต เชื่อว่า ยังมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนการลงทุนในอสังหาฯหลายประการ ได้แก่
1. ผลตอบแทนจากอัตราเงินปันผลจากกองทุนอสังหาฯในไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.75% (ณ วันที่ 24 ก.ย. 61, Bloomberg) ซึ่งยังสูงกว่าอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 1 ปี ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 1.74% (ณ วันที่ 24 ก.ย. 61, Thai BMA)
2. กำลังซื้อของประชาชน ในภาคอสังหาฯโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในไตรมาส 2 ยังคงเติบโตต่อจากไตรมาส 1 ได้อย่างต่อเนื่อง
3. ความต้องการในการเช่าสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรมยังคงมีอยู่มาก เห็นได้จากอัตราการเช่าที่ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 6.8% ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ปี 2560 (ณ วันที่ 24 ก.ย. 61, CBRE)
4. ไทยได้รับการจัดอันดับจาก Global Real Estate Transparency Index 2018 ให้เป็นตลาดอสังหาฯที่มีความโปร่งใสอยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน ยิ่งตอกย้ำถึงความน่าสนใจของอสังหาฯไทย (ณ วันที่ 29 มิ.ย. 61, GRETI)
ปัจจุบัน บลจ.ธนชาต มีกองทุนที่เน้นลงทุนในกลุ่มอสังหาฯในประเทศอยู่ 2 กองทุน คือ 1.กองทุนเปิดธนชาต พร็อพเพอร์ตี้เซ็คเตอร์ฟันด์ (T-Property) ซึ่งลงทุนได้ทั้งอสังหาฯและ REIT ในไทยและต่างประเทศ 2.กองทุนเปิดธนชาตพร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซิเบิล (T-PropInfraFlex) ซึ่งลงทุนได้ทั้งในอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐานในไทยและต่างประเทศ โดยบริษัทได้จ่ายปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนพร้อมกันทั้ง 2 กองทุน ในอัตรา 0.1125 บาทต่อหน่วย ในวันที่ 28 กันยายน 2561 ที่ผ่านมา กองทุน T-Property ได้จ่ายปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 14 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 1.575 บาท และกองทุน T-PropInfraFlex ได้จ่ายปันผลไปแล้วทั้งสิ้น 10 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 1.025 บาท
สำหรับในเดือนกันยายนนี้ บลจ.ธนชาต ได้จ่ายปันผลทั้งสิ้นรวม 5 กองทุน เป็นเงินกว่า 160 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 26 กันยายน ที่ผ่านมา ได้มีการจ่ายปันผลอีก 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดธนชาตหุ้นทุน (T-EQUITY) ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการจ่ายปันผลในอัตรา 1 บาท เป็นครั้งที่ 16 รวมทั้งสิ้น 19.84 บาท, กองทุนเปิดธนชาตอินฟราสตรัคเจอร์ แอนด์ แน็ชเชอรัล รีซอร์ส ฟันด์ ออฟ ฟันด์ (T-INFRA) ที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ในหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค มีการจ่ายปันผลในอัตรา 0.55 บาท เป็นครั้งที่ 8 รวมทั้งสิ้น 5.5 บาท และกองทุนเปิดธนชาตพรีเมียม แบรนดส์ฟันด์ (T-PREMIUM BRAND) ที่ลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ ในหลักทรัพย์ที่เป็นพรีเมียมแบรนด์ มีการจ่ายปันผลในอัตรา 0.80 บาท เป็นครั้งที่ 6 รวมทั้งสิ้น 4.8 บาท