ร้อยตำรวจโท เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การส่งออกข้าวในปีนี้คาดว่าจะส่งออกได้ถึง 9 ล้าน 5 แสนตัน มูลค่า 4,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากยังคงมีความต้องการข้าวไทยจากประเทศผู้นำเข้าข้าว เช่น อิหร่าน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และรัฐยังมีสัญญาการส่งมอบข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับประเทศจีนอยู่ นอกจากนี้การระบายข้าวในสต๊อกของรัฐ ที่เกือบหมดแล้ว ทำให้ผู้ซื้อตื่นตัวนำเข้าข้าวเพื่อเก็บสำรองมากขึ้น ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวและราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ประเทศคู่ค้ามีกำลังซื้อที่ดีขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทของไทยยังแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่ง อาจส่งผลให้ราคาข้าวไทยอยู่ในระกับสูงและแข่งขันยาก ซึ่งทุกๆ 1 บาท ที่แข็งค่าขึ้น จะส่งผลให้ข้าวไทยแพงขึ้น ประมาณ 12 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ภาครัฐจึงควรเข้ามาควบคุมดูแลด้วย เพราะที่ผ่านมา ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ากว่าคู่แข่งสำคัญ อย่าง เวียดนามถึง 9% ซึ่งหากปล่อยให้แข็งค่าขึ้น โดยที่รัฐไม่มีมาตรการดูแล อาจทำให้สินค้าส่งออกอื่นๆได้รับผลกระทบด้วย
นอกจากนี้ ไทยยังขาดแคลนข้าวชนิดที่เป็นที่นิยมของประเทศผู้ซื้อ เช่น ข้าวพื้นนิ่ม และข้าวเก่าสำหรับป้อนตลาดแอฟริกา ขณะที่ผู้นำเข้าหลายประเทศมีนโยบายพึ่งพาผลผลิตในประเทศ รวมทั้งยังมีมาตรการกีดกันทางการค้า ทำให้การส่งออกข้าวของไทยในปีนี้น้อยกว่าปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งไทยส่งออกได้ถึง 11 ล้าน 6 แสน 3 หมื่นตัน มากสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 11.5% เป็นอันดับ 2 รองจากอินเดีย ที่ส่งออกได้มากสุดถึง 12 ล้าน 4 หมื่นตัน ทั้งนี้ปีที่ผ่านมาถือเป็นปีทองของข้าวทุกชนิด โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิที่ปรับราคาขึ้นไปอยู่ที่ 17,000 บาทต่อตัน เนื่องจากรัฐระบายข้าวออกมาทำให้ไม่มีสต็อกเก่ากดดัน และข้าวของหรือไทยเป็นที่ต้องการของตลาดโลก