ทั้งนี้แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) กำหนดยุทธศาสตร์การสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้ประเทศมีการเติบโตที่ยั่งยืนประชาชนทุกคนได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ซึ่งภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีแผนงานที่สำคัญ คือ แผนงานบูรณาการพัฒนาระบบประกันสุขภาพที่มุ่งเน้นให้ครอบคลุมประชากรทุกภาคส่วนอย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และเท่าเทียม โดยประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพ 3 ระบบหลัก ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน และสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ซึ่งมีแนวคิดและการออกแบบระบบสำหรับประชากรกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน สำหรับสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการนั้นเป็นระบบสวัสดิการที่รัฐบาลได้ใช้เงินงบประมาณจ่ายเป็นเงินสวัสดิการจากทางราชการเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ และบุคคลในครอบครัว เมื่อยามเจ็บป่วยเพื่อไม่ให้เกิดความกังวลใจในระหว่างการปฏิบัติงานให้กับทางราชการ
นายประจักษ์ บุญยัง ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดเผยว่าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ภายใต้นโยบายการตรวจเงินแผ่นดินของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งกำหนดทิศทางและเป้าหมายการตรวจเงินแผ่นดินโดยคำนึงถึงการดำเนินการตามหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญของระบบหลักประกันสุขภาพสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ประกอบกับจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547–2562 พบว่าค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากจำนวนเงิน 16,994.30 ล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่มขึ้นเป็น 74,818.00 ล้านบาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ในขณะที่มีกลุ่มเป้าหมายเพียง 4.5 ล้านคน (ณ วันที่ 30 กันยายน 2562) ซึ่งเป็นสัดส่วนของประชากรที่น้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิการรักษาพยาบาลของประชาชนที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพอื่น แต่กลับมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเฉลี่ยต่อหัวที่สูงกว่าสตง. จึงได้เลือกตรวจสอบผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานระบบหลักประกันสุขภาพสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ กรมบัญชีกลางกระทรวงการคลังโดยมีประเด็นข้อตรวจพบที่สำคัญดังนี้
1.ระบบเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการยังไม่ครอบคลุมสถานพยาบาลของรัฐทั้งประเทศ
จากการตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558–2562 พบว่ามีสถานพยาบาลทั้งหมดจำนวน 27,354 แห่ง ประกอบด้วยสถานพยาบาลของรัฐจำนวน 13,446 แห่ง และสถานพยาบาลของเอกชนจำนวน 13,908 แห่ง โดยมีสถานพยาบาลที่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงรวมทั้งสิ้นจำนวน 1,403 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 5.13 ของสถานพยาบาลทั้งหมด ในจำนวนนี้เป็นสถานพยาบาลของรัฐจำนวน 1,147 แห่ง และสถานพยาบาลของเอกชนจำนวน 256 แห่ง ซึ่งการที่สถานพยาบาลของรัฐส่วนใหญ่ไม่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงทำให้ผู้มีสิทธิที่เข้ารับบริการรักษาพยาบาล ณ สถานพยาบาลของรัฐที่ไม่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงจะต้องทดรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อนซึ่งเป็นภาระของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง และเป็นภาระของส่วนราชการเจ้าสังกัดในการตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย ค่ารักษาพยาบาลให้กับบุคลากรในสังกัด อีกทั้งยังทำให้มีความเสี่ยงในการเบิกจ่ายไม่ถูกต้องตามระเบียบ หลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด เนื่องจากไม่ได้รับการตรวจสอบเอกสารหลักฐานก่อนการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และอาจเกิดการรั่วไหลของงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีสถานพยาบาลที่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรง เนื่องจากข้อมูลประกอบการตรวจสอบก่อนการเบิกจ่ายกรณีสถานพยาบาลของรัฐที่ไม่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงมีรายละเอียดข้อมูลการให้บริการรักษาพยาบาลไม่เพียงพอให้ส่วนราชการเจ้าสังกัดของผู้รับบริการใช้ประกอบการตรวจสอบก่อนการเบิกจ่าย
สถานพยาบาลจัดทำหลักฐานเพื่อส่งเบิกในระบบเบิกจ่ายตรงไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน
จากการตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการของหน่วยตรวจสอบที่กรมบัญชีกลางว่าจ้างดำเนินการ พบว่าการจัดทำหลักฐานเพื่อส่งเบิกในระบบเบิกจ่ายตรงของสถานพยาบาลยังไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน โดยสรุปดังนี้
2.1ผลการตรวจสอบธุรกรรมก่อนการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล (Pre-audit) ของสถานพยาบาลที่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงโดยสำนักสารสนเทศบริการสุขภาพ(สกส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) พบรายละเอียดข้อมูลการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายไม่ถูกต้อง ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดด้านการบริหารจัดการของสถานพยาบาล อาทิ สถานพยาบาลไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลการเบิกจ่ายก่อนส่งเบิกการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลและอัตราค่าบริการสาธารณสุขของกรมบัญชีกลาง ทำให้สถานพยาบาลต้องปรับปรุงระบบทางอิเล็กทรอนิกส์ในการบันทึกและการจัดส่งข้อมูลการเบิกจ่ายเงิน อีกทั้งบุคลากรของสถานพยาบาลขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบ หลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินที่กระทรวงการคลังกำหนด หรือยังมีความเข้าใจที่ไม่ชัดเจนในหลักเกณฑ์ใหม่ ทำให้เกิดการบันทึกข้อมูลและการจัดส่งข้อมูลการเบิกจ่ายไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน
2.2 การตรวจสอบเอกสารหลักฐานการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายหลังการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล (Post-audit) ของสถานพยาบาลที่เข้าระบบเบิกจ่ายตรง โดยสำนักวิจัยเพื่อพัฒนาการตรวจสอบการบริการสาธารณสุข (สพตส.) พบการเบิกจ่ายไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด และกรมบัญชีกลางได้ดำเนินการเรียกเงินคืนจากสถานพยาบาลจำนวน 414.32 ล้านบาท ซึ่งปัญหาของการเบิกจ่ายไม่ถูกต้องเกิดจากหลายกรณี เช่น การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลซ้ำซ้อน เบิกเกินอัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด การเบิกค่ายาโดยไม่มีบันทึกการตรวจรักษา การส่งข้อมูลโรคร่วมจำนวนมากโดยไม่พบการวินิจฉัยโดยแพทย์เจ้าของไข้หรือไม่พบหลักฐานที่สนับสนุนการวินิจฉัย ซึ่งทำให้เบิกค่ารักษาพยาบาลสูงกว่าที่ควรจะเป็น เป็นต้น ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีสถานพยาบาลที่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงเพียงจำนวน 1,403 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 5.13 ของสถานพยาบาลทั้งหมด แต่การตรวจสอบPost-audit ยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและจำนวนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบด้านการแพทย์ จึงไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบสถานพยาบาลทุกแห่งที่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงได้ ทำให้เกิดจุดอ่อนหรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลให้การเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลไม่ถูกต้องสำหรับสถานพยาบาลที่ไม่ได้รับการสุ่มตรวจสอบ ในขณะเดียวกัน สถานพยาบาลที่ไม่ได้เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรง (เบิกจ่าย ณ ส่วนราชการเจ้าสังกัด) ก็มีความเสี่ยงสูงในการเบิกจ่ายเงินโดยไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ได้รับการตรวจสอบ Pre-audit และ Post-audit จากหน่วยงานที่กรมบัญชีกลางว่าจ้าง เป็นเพียงการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายจากกองคลังของส่วนราชการเจ้าสังกัด
จากผลการตรวจสอบข้างต้น สตง. จึงได้มีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ และหน่วยงานที่กำกับดูแล อาทิ จัดให้มีการสำรวจข้อมูลหรือประเมินผลสถานพยาบาลของรัฐที่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงและไม่เข้าร่วมระบบเบิกจ่ายตรงเพื่อทราบปัญหา อุปสรรค ข้อจำกัด หรือข้อคิดเห็นเพื่อนำมาวางแผนปรับปรุงการดำเนินงาน จัดให้มีการส่งผลการตรวจสอบ Pre-audit และ Post-audit ให้หน่วยงานเจ้าสังกัดของสถานพยาบาลเพื่อทราบและควบคุม กำกับ ดูแลให้สถานพยาบาลในสังกัดเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้องตามระเบียบ ตลอดจนประชาสัมพันธ์ประเด็นปัญหาหรือข้อตรวจพบ กรณีการตรวจสอบก่อนการเบิกจ่ายและหลังการเบิกจ่ายไปยังสถานพยาบาลทุกแห่งทั้งที่ได้รับการสุ่มตรวจสอบหรือยังไม่ได้รับการสุ่มตรวจสอบเพื่อให้เกิดการตระหนักรู้และพัฒนาการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพต่อไปฯลฯ
ในยุคที่โลกหมุนเร็วด้วยเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ต่างๆ และหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายที่ทรงอิทธิพลที่สุดในปัจจุบันก็คือ Gen Z หรือคนรุ่นใหม่ที่เกิดระหว่างปี 1997 ถึง 2012 พวกเขาเติบโตมากับโลกดิจิทัล มีมุมมองที่แตกต่าง และให้ความสำคัญกับคุณค่าที่หลากหลาย บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึง Gen Z…
"ฟอร์ติเน็ต" เผยรายงานช่องว่างด้านทักษะไซเบอร์ ชี้ 92% ขององค์กรในไทยเผชิญภัยคุกคามจากปัญหาขาดแคลนบุคลากร แนะ 3 แนวทางรับมือ ผนึกกำลังภาครัฐ-เอกชน สร้าง "กองทัพไซเบอร์" ปกป้องเศรษฐกิจดิจิทัล ฟอร์ติเน็ต เปิดเผยรายงานช่องว่างด้านทักษะความปลอดภัยทางไซเบอร์ทั่วโลกประจำปี 2024…
FUJIFILM Business Innovation (Thailand) Co., Ltd., a leading provider of office solutions and innovative printing…
FUJIFILM Business Innovation ผู้ให้บริการโซลูชันสำนักงานและเครื่องพิมพ์ ประกาศทิศทางกลยุทธ์ไตรมาส 3 ปี 2024 ภายใต้แนวคิด "Make a Leap to the New…
Solar D เปิดตัว “หุ่นยนต์ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์” นวัตกรรมสุดล้ำ Light Speed ติดตั้งเร็วกว่าแรงงานคนถึง 10 เท่า! ชูจุดเด่นลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ หนุนเป้าหมายเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ปี 2569…
วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2567) นายวิทยา พันธุ์มงคล รองผู้ว่าการ (ปฏิบัติการ) รักษาการแทน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม…