นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศจาก World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2562
พบว่า ไทยได้รับการจัดอันดับสูงขึ้นถึง 5 อันดับ มาอยู่ที่ 25 จาก 63 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ปัจจัยสำคัญ มาจากสมรรถนะทางเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพของภาครัฐดีขึ้นถึง 2 อันดับ ด้วยการลงทุนต่างประเทศ ที่มีการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน อำนวยความสะดวกได้ดีขึ้น ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐดีขึ้นถึง 4 อันดับ ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลปรับกฎระเบียบให้ทันสมัย คล่องตัว และส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในการให้บริการให้รวดเร็ว
นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาสภาพัฒน์ ยังได้ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทยหรือ TMA ในการสร้างความตระหนักให้หน่วยงานเจ้าภาพข้อมูลมีการจัดระบบข้อมูลที่ใช้ในการจัดอันดับของสถาบัน IMD ให้มีความถูกต้อง และทันสมัย
ด้านนางสาววรรณวีรา รัชฎาวงศ์ กรรมการบริหาร สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย(TMA) กล่าวว่า นับเป็นอันดับสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมาที่ไทยได้รับ ซึ่งนอกเหนือจากประเด็นด้านเศรษฐกิจ ยังมีประเด็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นรากฐานของการสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวที่มีอันดับสูงขึ้นถึง 4 อันดับจากปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชนที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนวิจัยและพัฒนาคิดเป็น 0.8 % ของ GDP
อย่างไรก็ตามประเด็นท้าทายของประเทศ คือ การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาช่วยเพิ่มมูลค่าและผลิตภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจขนาดย่อมและภาคการเกษตร รวมถึงการพัฒนากำลังคนให้เท่าทันเทคโนโลยีและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต
ทั้งนี้เขตเศรษฐกิจที่มีอันดับสูงสุด 5 อันดับแรกคือ สิงคโปร์เลื่อนขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 แทนที่สหรัฐอเมริกาซึ่งลดอันดับลงไปเป็นที่ 3 รองลงมาคืออันดับ 2 ฮ่องกง อันดับ 4 สวิสเซอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อันดับ 5
สำหรับเขตเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนที่ได้รับการจัดอันดับ 5 เขตเศรษฐกิจ มีอันดับดีขึ้นเกือบทั้งหมด ประกอบด้วยสิงคโปร์ซึ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 มาเลเซียมีอันดับคงที่ที่ 22 เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ส่วนประเทศไทยสูงขึ้น 5 อันดับ จากอันดับที่ 30 เป็น 25 อินโดนีเซียมีอันดับดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากอันดับที่ 43 เป็น 32และฟิลิปปินส์จากอันดับที่ 50 เป็น 46