กรุงเทพฯ: 22 เม.ย.62 – รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ตรวจเยี่ยมกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมให้การต้อนรับ พร้อมกับประชุมหารือผลการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม โดยกระทรวงฯได้นำเสนอแนวทางการจัดทำแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มทักษะและยกระดับแรงงานฝีมือที่จะเชื่อมโยงกับภาคเอกชน รวมถึงการรายงานความคืบหน้าการส่งเสริมพัฒนา SMEs ในด้านต่าง ๆ ทั้งโครงการ InnoSpace และการพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม 4.0 (Factory 4.0)
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้เดินทางมาตรวจราชการ ณ กระทรวงอุตสาหกรรม และเป็นประธานการประชุมติดตามผลการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม โดยมีนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมประชุม
โดยนายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า ได้รายงานความคืบหน้าของโครงการและกิจกรรมส่งเสริมพัฒนา SMEs ต่าง ๆ ให้รองนายกรัฐมนตรีรับทราบ โดยนำเสนอวาระเร่งด่วนที่จะดำเนินการ ในปี 2562 – 2565 ตั้งแต่การเพิ่มผลิตภาพด้วยแนวทาง Three Stage Rocket การใช้ประโยชน์จาก Digital Value Chain การส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมผ่านศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 โดยโครงการ InnoSpace ที่กำลังดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างและพัฒนาสตาร์ทอัพไทยว่า หลังจากที่บริษัท InnoSpace (Thailand) ได้ร่วมลงนาม MOU กับหน่วยงานของฮ่องกง ได้แก่ Cyberport, HPA และ HKTDC แล้ว ปัจจุบันกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะหน่วยงานหลักร่วมดำเนินงาน อยู่ระหว่างการจัดทำโครงการ Startup Boot Camp นำร่อง เพื่อสร้างสตาร์ทอัพในสาขาเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมเกษตร อุตสาหกรรมอุปกรณ์การแพทย์ และอุตสาหกรรมบริการ โดยร่วมกับ บริษัท InnoSpace (Thailand) และพันธมิตรฮ่องกง ตั้งแต่กระบวนการกำหนดโจทย์แนวคิดการทำธุรกิจ การบ่มเพาะ การจัดทำแผนด้านการตลาด จนถึงให้การสนับสนุนเงินทุนแก่สตาร์ทอัพ ที่มีศักยภาพ โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาสตาร์ทอัพได้ไม่น้อยกว่า 10,000 รายภายในปี 2565 นอกจากนี้ ยังจะมีการเปิดตัวกิจกรรมดังกล่าวในช่วงเดือนมิถุนายน 2562 หลังการลงนามความร่วมมือระหว่างพันธมิตรภาครัฐ- เอกชน สถาบันการเงิน และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ InnoSpace (Thailand) ซึ่งจะกลายเป็น Platform การสร้างและพัฒนาสตาร์ทอัพที่สำคัญของประเทศ
“ในส่วนของบริษัท InnoSpace (Thailand) ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมประสานหน่วยภาคีเครือข่ายภาครัฐ-เอกชน และสถาบันการศึกษาในการบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เกิดการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยประกอบไปด้วยเสาหลักต่าง ๆ ได้แก่ 1. มหาวิทยาลัย 2.บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่มีพลังด้านการเงินและสามารถเข้ามาร่วมลงทุนกับทางบริษัทฯ 3. หน่วยงานร่วมลงทุน 4. หน่วยงานเครือข่ายภาครัฐ ขณะเดียวกัน ท่านรองนายกฯ ยังได้เน้นย้ำให้กระทรวงฯ ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการโดยผ่านกลไก Digital Transformation ด้วยการมุ่งเน้นผลักดันให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ AI และ Big Data เพื่อปรับเปลี่ยนระบบการผลิตไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 มากขึ้น ทั้งนี้ โครงการและกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่าง ๆ ที่นำเสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ จะมีความเชื่อมโยงกัน โดยเน้นการตลาดนำการผลิต การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เพื่อสร้างนวัตกรรมและการเพิ่มผลิตภาพ ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคเกษตรของไทยอย่างยั่งยืน”รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว
ด้านนายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการด้านการเงินที่มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนของวิสาหกิจขนาดย่อม โดยสำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้สามารถใช้เงินกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ที่คาดว่าจะเหลือจากการวิเคราะห์เพื่อปล่อยสินเชื่อ จำนวนกว่า 1,000 ล้านบาท และเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยที่ไหลเวียนกลับเข้ามาจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี จำนวนกว่า 1,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 ล้านบาท ในการสนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติมให้แก่วิสาหกิจขนาดย่อม (หรือ ที่เรียกว่าสินเชื่อคนตัวเล็ก) จำนวน 4,000 ราย ซึ่งปัจจุบันได้มีการปล่อยกู้ไปแล้ว 8,000 ล้านบาท จำนวนกว่า 8,600 ราย แต่อย่างไรก็ตามความต้องการของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดย่อมยังมีความต้องการอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติใช้วงเงินดังกล่าวภายในเดือนมิถุนายนนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการคนตัวเล็กได้มากขึ้น
นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ในภาพรวมทั้งระบบ ประกอบด้วย 1.มาตรการทางกฎหมาย โดยจะมีการออกระเบียบสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ในฤดูการผลิตปี 2562/63 ที่จะเริ่มเปิดหีบอ้อยในเดือน พ.ย.นี้ เป็นต้นไป เพื่อกำหนดให้โรงงานน้ำตาลต้องรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบในโรงงานได้ไม่เกิน 30% ต่อวัน ของกำลังการผลิตในแต่ละวันสำหรับในฤดูการผลิตปี 2563/64 โรงงานน้ำตาลจะรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบได้ไม่เกิน 20% ต่อวัน และฤดูการผลิตปี 2564/2565 จะลดปริมาณอ้อยไฟไหม้เข้าหีบเพียง 0-5% ต่อวัน เพื่อทำให้ปริมาณอ้อยไฟไหม้หมดไปภายใน 3 ปีนับจากนี้ 2.มาตรการสนับสนุนจากภาครัฐในการลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ เช่น การอุดหนุนให้เกษตรกรสามารถซื้อรถตัดอ้อยมาใช้ตัดอ้อยแทนการเผาอ้อยเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานคนตัดอ้อย โดยมีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อแก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกรสหกรณ์การเกษตร สถาบันชาวไร่อ้อยกลุ่มบุคคล และวิสาหกิจชุมชน นอกจากนี้ จะนำเสนอมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการรถตัดอ้อยที่เป็นผู้ผลิตคนไทยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ด้วยการเพิ่มศักยภาพการผลิตและจำหน่ายให้เพียงพอกับความต้องการ และส่งเสริมการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โดยการใช้รถตัดอ้อยและเครื่องจักรกลการเกษตรอื่นๆนำไปจดทะเบียนเครื่องจักร ตามกฎหมายกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อนำไปเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันกับแหล่งเงินกู้ได้อีกด้วย และ 3.มาตรการด้านการบริหารจัดการในการลดปริมาณอ้อยไฟไหม้ โดยการบริหารจัดการการผลิตแบบบูรณาการ การจัดการพื้นที่ปลอดอ้อยไฟไหม้ โดยความร่วมมือจากโรงงานน้ำตาลและชาวไร่อ้อยเป็นจังหวัดปลอดการเผาอ้อยในแต่ละภาค รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดเลย และจังหวัดอุตรดิตถ์ และการจัดการพื้นที่ลดปริมาณพื้นที่เก็บเกี่ยวอ้อยไฟไหม้ ในรัศมีรอบชุมชน 5 กิโลเมตร รัศมีรอบโรงงาน 10 กิโลเมตร โดยจะดำเนินการในทุกพื้นที่ที่มีการปลูกอ้อย หรือที่โรงงานน้ำตาลตั้งอยู่