สมอ. แจงสื่อกรณีจับ “ปลั๊กพ่วง” ในห้างฯ ย่านบางแค ยืนยันเป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐาน

สมอ. แจงตรวจห้างฯ ย่านบางแคให้บริการเช่าพื้นที่ขายสินค้าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ยึดอายัด“ปลั้กพ่วง” ไม่ได้มาตรฐานจากร้านค้าเช่าจำนวนมาก ยันเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำโดยไม่ได้รับใบอนุญาต หากนำไปใช้เสี่ยงต่อการเกิดเพลิงไหม้ และเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้บริโภค

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวกรณี สมอ. เข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านบางแค พบสินค้าไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะ “ปลั๊กพ่วง” จำนวนมาก จึงดำเนินการยึดอายัดผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งมีสื่อมวลชนได้เผยแพร่ข่าวอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นมีผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของสินค้าทำหนังสือชี้แจงถึงสื่อมวลชนเพื่อให้แก้ข่าวดังกล่าว สมอ. จึงขอเรียนยืนยันว่า การนำเสนอข้อมูลในข่าวของสื่อมวลชนนั้นถูกต้องแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ที่ สมอ. ยึดอายัดในวันดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานภายใต้เครื่องหมายการค้า TOSHINO และ ANITECH ซึ่งมีความผิดดังนี้

1. ปลั๊กพ่วง ยี่ห้อ TOSHINO ที่ยึดอายัดมามีทั้งหมด 4 รุ่น คือ รุ่น S9P525NV รุ่น FO6S-1.8M

รุ่น FW3-3M และรุ่น FO6S-3M ทั้ง 4 รุ่น เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยรุ่น S9P525NV และรุ่น FO6S-3M นำเข้ามาก่อนที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ สำหรับรุ่น FO6S-1.8M และรุ่น FW3-3M เป็นการนำเข้าสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ส่วนจะใช้สิทธิ์อ้างว่าทำก่อนกฎหมายบังคับใช้ต้องตรวจสอบและพิสูจน์กันต่อไป

2. ปลั๊กพ่วง ยี่ห้อ ANITECH รุ่น H622 ที่ สมอ. ได้ยึดอายัดในวันดังกล่าว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นอกจากนี้ ยังได้ยึดอายัดมาจากห้างสรรพสินค้าอีกหลายแห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 เป็นต้นมา กว่า 2,000 ชิ้น นั้น เป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่วนจะใช้สิทธิ์อ้างว่าทำก่อนกฎหมายบังคับใช้ต้องตรวจสอบและพิสูจน์กันต่อไป

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. กำหนดให้ปลั๊กพ่วงต้องเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเต้าเสียบและเต้ารับสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยและงานทั่วไปที่มีจุดประสงค์คล้ายกัน : ชุดสายพ่วง มาตรฐานเลขที่ มอก.2432-2555 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561 เป็นต้นมา ซึ่งผู้ทำ ผู้นำเข้า จะต้องขออนุญาตทำและนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก่อน ขณะเดียวกันผู้จำหน่ายจะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย มอก. เท่านั้น โดย สมอ. ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้อง ให้ทราบถึงข้อกำหนด มอก.2432-2555 รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ การบังคับใช้มาตรฐาน การขอรับใบอนุญาต การมีไว้เพื่อจำหน่าย และการดำเนินการกับผลิตภัณฑ์ที่มีไว้ก่อนการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นมา รวมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง ดังนี้

1. ปลายปี 2560 สมอ. ได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งผู้ทำ นำเข้า และจำหน่าย ให้แจ้งปริมาณสินค้าคงเหลือ

2. เดือนธันวาคม 2560 – กันยายน 2561 สมอ. ดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบการ ร้านจำหน่าย และหน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่แก่ผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องทั้งในรูปแบบเอกสาร เช่น ข่าว แผ่นพับ โปสเตอร์ และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางสื่อมวลชน และสื่อโซเชียลมีเดีย

3. เดือนกุมภาพันธ์ – สิงหาคม 2561 ให้ความรู้แก่ห้างสรรพสินค้าที่ให้บริการเช่าพื้นที่ขายสินค้า และร้านค้าที่ขายสินค้าในห้างดังกล่าวกว่า 50 ห้าง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อให้ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าทราบถึงข้อปฏิบัติที่ถูกต้องในการขายสินค้าที่มี มอก. รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และร่วมเป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสกรณีพบผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานในพื้นที่ที่รับผิดชอบ

4. เดือนตุลาคม 2561 สมอ. ออกตรวจติดตามผู้ที่ได้รับใบอนุญาต ณ ขณะนั้น มีจำนวน 11 ราย พร้อมเก็บตัวอย่างทดสอบ เพื่อทวนสอบว่าผลิตภัณฑ์ยังคงเป็นไปตามมาตรฐานเหมือนตอนขออนุญาตหรือไม่ ผลการตรวจสอบพบว่า ผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐานกำหนดจำนวน 1 ราย

5. เดือนพฤษภาคม 2562 สมอ. ลงพื้นที่ตรวจห้างสรรพสินค้าที่ให้บริการเช่าพื้นที่ขายสินค้า และร้านค้าที่ขายสินค้าในห้างดังกล่าว และจะปูพรมตรวจอย่างต่อเนื่องทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดในเมืองใหญ่ต่อไป

ปัจจุบันมีผู้ได้รับใบอนุญาตทำและนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 33 ราย แบ่งเป็นผู้ทำจำนวน 17 ราย และนำเข้าจำนวน 16 ราย สามารถดูรายชื่อได้ที่ www.tisi.go.th โดยเข้าสืบค้นข้อมูลที่เมนู คู่มือผู้ซื้อ สำหรับบทลงโทษในกรณีทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี
ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแสดงเครื่องหมาย มอก. โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สมอ. จึงขอแนะนำประชาชนผู้บริโภคในการเลือกซื้อชุดสายพ่วงที่ได้มาตรฐานมีข้อสังเกต ดังนี้
1. มีเครื่องหมายมาตรฐานบนผลิตภัณฑ์ แสดงถึงผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการรับรองคุณภาพตามมาตรฐานแล้ว
2. ที่เต้ารับมีตัวปิดช่อง และมีขั้วสายดิน เพื่อป้องกันเด็กเอานิ้วมือแหย่รูปลั๊ก และป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว
3. เต้าเสียบต้องเป็นแบบขากลม 3 ขา มีฉนวนกันกระแสไฟฟ้าที่โคนขาปลั๊กไฟ เพื่อป้องกันการสัมผัสโคนขาปลั๊กไฟ
4. เต้ารับและเต้าเสียบต้องเสียบพอดีกัน ไม่แน่น และไม่หลวม
5. มีอุปกรณ์ป้องกันกระแสไฟเกินในชุดสายพ่วงที่มีเต้ารับตั้งแต่ 3 ตัวขึ้นไป
6. สวิตซ์เปิด-ปิดเพื่อป้องกันไฟกระชากจากการถอดปลั๊กเต้าเสียบ เป็นอุปกรณ์เสริมซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้

“สาเหตุหนึ่งของไฟฟ้าลัดวงจรซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ ส่วนใหญ่มาจากชุดสายพ่วงที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำมาจากวัสดุที่มีคุณภาพต่ำ เช่น ชิ้นส่วนโลหะที่เป็นจุดสัมผัสของปลั๊กเสียบทำจากทองเหลืองที่บางมาก เมื่อกระแสไฟฟ้าเดินไม่สะดวก เกิดความร้อนสูงทำให้เกิดการลุกไหม้ ดังนั้น การใช้ชุดสายพ่วงที่ได้มาตรฐานมีเครื่องหมาย มอก. รับรอง ผู้บริโภคจะมั่นใจได้ในความปลอดภัย เพราะผ่านการตรวจสอบรับรองจาก สมอ.แล้ว” เลขาธิการ สมอ. กล่าว

Scroll to Top