อาจเป็นสัญญาณดีของภาคการส่งออกไทย เมื่อสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ได้ปรับคาดการณ์การส่งออกไทยในปี 2563 ว่าจะติดลบ 8-10% จากเดิมที่คาดว่าติดลบ 10% ผลจากมีปัจจัยบวกจากความต้องการสินค้าทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เห็นได้จากยอดคำสั่งซื้อสินค้าส่งออกสินค้าทั่วโลกที่ขยายตัว มีการนำเข้า-ส่งออกสินค้ากลุ่มที่มีศักยภาพ อาทิ สินค้าอาหาร สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงานที่บ้าน และสินค้าเพื่อการป้องกันการระบาดของโรค ถุงมือยาง
แต่ก็ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ทั้งเรื่องของสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกที่ตกต่ำ ส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภค ที่หันมาใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ซื้อเฉพาะสินค้าจำเป็น ราคาไม่สูง การแข่งขันรุนแรง และค่าเงินบาทยังคงแข็งค่า
ปัจจัยต้นทุนโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ซึ่งประสบปัญหาค่าระวางสูงโดยเฉพาะเส้นทางทรานส์แปซิฟิกและออสเตรเลีย จากที่หลายสายเรือเริ่มมีพื้นที่ไม่เพียงพอจึงไม่สามารถรับการบุ๊กกิ้งได้ และต้องมีการปิดรับชั่วคราว อาทิ ออสเตรเลีย ยุโรป และอเมริกา ปัญหาการขาดแคลนตู้บรรจุสินค้า หลังจากที่จีนฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จึงมีความต้องการสายเรือไปจีนค่อนข้างมาก ผู้ประกอบการไทยได้รับ space allocation ไม่เพียงพอ ซึ่งแนวทางการแก้ไขควรกำหนดเป็นบริการขนส่งสินค้าทางเรือระหว่างประเทศเป็นบริการควบคุม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ 2542 เพื่อวางแนวทางหารือร่วม 3 ฝ่ายทุกครั้งหากสายเรือจะประกาศค่าบริการเพิ่มเติม
ปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวอยู่ระดับต่ำกว่าปี 2562 ทำให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ พลาสติก เคมีภัณฑ์ และน้ำมันสำเร็จรูป ยังมีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่วนภาคการผลิตสินค้าเกษตรต้องประสบปัญหาภัยแล้ง ระดับน้ำในเขื่อนสำคัญทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ รวมถึงเขื่อนบางพระทางตะวันออก ยังมีปริมาณต่ำ รวมถึงปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าว เพราะยังไม่สามารถเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยได้ ซึ่งรัฐบาลควรต้องสนับสนุนมาตรการเพื่อทดแทนแรงงาน ซึ่งมาตรการรัฐช่วยจ่าย copay ถือว่าเป็นมาตรการที่ต้องดำเนินการต่อ และต้องจับคู่แรงงานที่ว่างงานกับภาคอุตสาหกรรมที่ขาดแรงงานเพื่อแก้ไขปัญหาด้วย
สำหรับข้อเสนอสำคัญของสภาผู้ส่งออก คือการเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาเสถียรภาพเงินบาทไว้ในระดับ 34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หรือไม่แข็งค่ากว่าสกุลอื่นในภูมิภาค โดยทาง สรท.จะนำประเด็นนี้หารือกับคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ และจะเข้าพบนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ เพื่อรายงานสถานการณ์ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ต่อไป
ที่สำคัญต้องจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเลือกตั้งของสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนนี้ อย่างใกล้ชิด