ไทยผนึกมิชลิน สู่เมืองหลวงอาหารแห่งเอเชีย ดันรายได้จากอาหาร-นักท่องเที่ยวแตะ 7.57 แสนล้าน

หลังจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติงบประมาณ 144 ล้านบาทเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) จัดทำโครงการมิชลิน ไกด์ ไทยแลนด์ 5 ปี เพื่อผลิตคู่มือ แนะนำร้านอาหารที่ได้มาตรฐานตามที่มิชลิน กำหนดนั้นททท.ได้ร่วมมือกับมิชลินต่อเนื่องพร้อมเปิดตัวโครงการในวันที่ 6 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการยกระดับรายได้ ด้านท่องเที่ยวจากการรับประทานอาหาร ที่อยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลกนายกลินท์ สารสิน ประธาน คณะกรรมการ ททท. กล่าวว่า ในรอบ 5 ปี ต่อไปนี้ มีแผนการยกระดับภาพลักษณ์และแบรนด์ของประเทศไทยเป็น “เมืองหลวงอาหารแห่งเอเชีย” ด้วยการจัดกิจกรรมในหลายด้าน โดยมีความร่วมมือ กับมิชลิน เป็นไฮไลต์หลัก เนื่องจากเป็น แบรนด์ที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงติดตลาด สำหรับคนทั่วโลกที่สนใจในการรับประทาน อาหารนิยมยึดเป็นคู่มือต้นแบบเดินทาง ตามรอย โดยหลังจากเปิดตัวไทยเป็นประเทศที่ 29 ในโลกที่ร่วมมือกับ มิชลินไปในช่วงต้นปี เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ ญี่ปุ่น, ฮ่องกง จีน สนใจสอบถามโครงการดังกล่าวนักท่องเที่ยว86%สนใจอาหารไทยจากผลการศึกษาความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทยว่ามีถึง 86% ที่ระบุว่าต้องการรับประทานอาหารไทย แต่ทั้งนี้ การหวังผลต่อเนื่องคือการเข้ามา สำรวจร้านแบบปกปิดตัวตนเพื่อรวบรวมร้านที่ได้มาตรฐานนั้น จะส่งผลให้ธุรกิจร้านอาหารไทยเกิดความตื่นตัวในการปรับปรุง คุณภาพและบริการของตัวเองในวงกว้างหลังจากปีแรกเปิดตัวการสำรวจในกรุงเทพฯ แล้ว ในอีก 4 ปีจะกระจายไปยังทำเลต่างจังหวัด เพื่อให้ตอบรับกับนโยบายของรัฐบาลที่เน้นการเติบโตของรายได้ท้องถิ่น คาดว่าห่วงโซ่ของระบบธุรกิจอาหารทั้งหมดจะยกระดับมาตรฐาน เช่น เกษตรกร ที่ผลิตวัตถุดิบมีคุณภาพ ก็จะมียอดขายส่งต่อให้กับร้านอาหารเพิ่มขึ้นดันรายได้อาหาร 7.57แสนล้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.กล่าวว่า ปัจจุบันค่าใช้จ่ายด้านการอาหารของนักท่องเที่ยวต่อคนอยู่ที่ 20% เท่ากับ ค่าใช้จ่ายด้านการชอปปิง หรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของค่าใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวทั้งหมด โดยในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ส่วนนี้อยู่ที่ 5.4 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 2.7 ล้านล้านบาทแต่หลังจากดำเนินโครงการมิชลิน ร่วมกับแผนกิจกรรมกระตุ้นอาหารรายได้อื่นๆ ที่กำลังทยอยตามมาแล้ว จะต้องเพิ่มสัดส่วนรายได้อาหารของนักท่องเที่ยวทั้งหมดเป็น 25% หรือราว 1 ใน 4 หรือคิดเป็นเม็ดเงินรวม 7.57 แสนล้านบาท”การทำงานร่วมกับมิชลิน เป็นความร่วมมือในเชิงการสร้างแบรนด์ร่วมกัน ตอกย้ำชื่อเสียงและความจริงจังในการบุกเรื่องอาหารเป็นหลัก เพื่อกรุยทางสู้เป้าหมายการเป็นเมืองหลวงอาหารแห่งเอเชีย ซึ่งหลายประเทศกำลังแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งนี้”ปัจจุบันหลายประเทศวางกลยุทธ์เปิดตลาดเรื่องอาหารมากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น ที่เริ่มความร่วมมือกับมิชลินไปก่อน และมีร้านอาหาร ที่ได้รับดาวมากที่สุด หากไทยไม่เริ่มร่วมมือ กับมิชลิน เวียดนาม และอินโดนีเซีย ก็กำลังเล็งนำโครงการนี้ไปโปรโมทอยู่เช่นกันทั้งนี้ สิ่งที่ไทยคาดหวังอีกเรื่องคือ การสร้างความแตกต่างของเอกลักษณ์อาหารไทยที่มีอยู่ เช่น สตรีทฟู้ด ที่ได้รับการจัด อันดับความนิยมติด 1 ใน 3 ของโลก ก็หวังว่าจะมีโอกาสผลักดันและยกระดับให้ติดดาวมิชลินได้ในย่านสำคัญ เช่น เยาวราช หรือประตูน้ำ เป็นต้นยกระดับมาตรฐานร้านอาหารด้านการยกระดับมาตรฐานของร้านอาหาร คาดว่าจะทำให้มีการปรับปรุงใน 5 เรื่อง ที่เป็นเกณฑ์การพิจารณาของ มิชลิน ได้แก่ คุณภาพอาหาร, รสชาติอาหาร, เอกลักษณ์, ความคุ้มค่า และความเสมอต้นเสมอปลาย โดยเฉพาะเรื่องสุดท้าย ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาระยะยาว เพราะมิชลิน จะกลับมาประเมินร้านที่ได้ดาวไปแล้วทุกปี เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงมาตรฐานต่อไปได้โดยคาดว่าใน 5 ปีต่อไปนี้ จะเห็นผลของภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและสู้กับเอเชียได้ เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ 6 ในเอเชียที่ร่วมมือกับมิชลิน และยังมีอีกหลายประเทศที่น่าจะทยอยร่วมมือ เช่น ไต้หวัน ที่ตามหลังไทยมาเป็นประเทศที่ 30 ของโลก และเกาหลีใต้ที่ดำเนินการไปในปีก่อนหน้าผุด”ไกด์บุ๊ค”โปรโมทอาหารนายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากโครงการมิชลินแล้ว ได้ร่วมมือกับ”ไกด์บุ๊ค”ด้านอาหารที่มีชื่อเสียงเก่าแก่ของยุโรป ได้แก่ โกลต์ แอนด์ มีโย (Gault&Millau) ซึ่งมียอดพิมพ์กว่า 3.5 หมื่นเล่ม และเจาะกลุ่มท่องเที่ยวตลาดไฮเอนด์ในเนเธอร์แลนด์, เบลเยียม, ลักเซมเบิร์ก ในการจัดทำฉบับแทรกคู่มือด้านอาหารไทยภายใต้ชื่อ “เทสตี้ ไทยแลนด์” จำนวน 78 หน้า เพื่อกระตุ้นการรับรู้เพิ่มเติมอีกทางนอกจากนี้ร่วมมือกับเสิร์ชเอนจิ้น ด้านอาหาร Gurunavi ที่ได้รับความนิยมจากนักชิม ในตลาดญี่ปุ่นโดยเฉพาะ ในการโปรโมทอาหารไทย เพราะตลาดญี่ปุ่นเป็นฐาน นักท่องเที่ยวที่มีความสนใจด้านนี้สูง และช่องทางออนไลน์จะตอบโจทย์ตลาดเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ได้ดี โดยปีนี้คาดว่าชาวญี่ปุ่นจะเดินทางมาในไทยปีนี้กว่า 1.4 ล้านคนจัด”อะเมซิ่ง ไทย เทสต์”ขณะเดียวกันจะร่วมมือกับคณะทำงานสานพลังประชารัฐ ในการจัดทำโครงการ อะเมซิ่ง ไทย เทสต์ ส่งเสริมให้ร้านอาหารใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในการประกอบอาหาร และนำเสนอให้ชาวต่างชาติเป็นที่รู้จักควบคู่ไปด้วย โดยเลือกสินค้าที่มีจุดเด่นเป็นอัตลักษณ์ ท้องถิ่น เช่น ผลผลิตจากโครงการหลวง เป็นต้น และร่วมมือกับโครงการครัวไทย สู่ครัวโลก ที่มีการผลักดันจากภาครัฐ จัดกิจกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องสำหรับร้านอาหารที่ไม่ได้ดาวมิชลิน แต่ก็ยังมีโอกาสมีชื่อนำเสนอในไกด์บุ๊คในฐานะร้านอาหาร Bib Gourmand ที่มีจุดเด่น ของมาตรฐานในด้านอื่นๆ เช่น บริการ, ความคุ้มค่า เป็นต้น และหลังจากนี้หากไทย มีอีเวนท์ใหญ่ใดๆ ที่เป็นระดับนานาชาติ เช่น เอทีเอฟ 2018 ซึ่งกำลังจะจัดในเชียงใหม่ ก็จะนำเชฟร้านมิชลินที่ประกาศในปีแรกนี้ ไปร่วมทำอาหารจัดเลี้ยงผู้เข้าร่วมงาน เพื่อสร้างการรับรู้ไปในตัวกิจกรรมใหญ่ที่ไทยกำลังเตรียมเป็น เจ้าภาพ ซึ่งจะตอกย้ำด้านอาหาร ได้แก่ UNWTO World Forum on Gastronomy Tourism ครั้งที่ 4 ในเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นการประชุมนานาชาติด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหารขององค์การท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ หลังจากนี้เป็นต้นไป จะมีกลยุทธ์ใหญ่ให้ทุกสำนักงานภูมิภาค กระตุ้นตลาดด้านอาหารต่อเนื่องตลอดปี 2561 ต่อไปด้านนายกลินท์ เสริมด้วยว่า หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาใหม่ โดยมีนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ มาดำรงตำแหน่งนั้น มีหลายโครงการ ที่ต้องนำเสนอเพื่อความต่อเนื่อง ซึ่งโดยส่วนตัว ยังเหลือวาระดำรงตำแหน่งอีก 1 ปี หลังจาก ผ่านมาแล้ว 1 วาระๆ ละ 2 ปี ยืนยันว่ายังทำงานในฐานะประธานบอร์ดต่อไป เพราะตนไม่ได้เข้ามาเพราะเรื่องการเมือง

Related Posts

Scroll to Top