Apple เปิดตัวชิป M1 Ultra สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

Apple เปิดตัวชิป M1 Ultra สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

Apple ประกาศเปิดตัวชิป M1 Ultra ซึ่งเป็นอีกหนึ่งก้าวกระโดดครั้งสำคัญสำหรับ Apple Silicon และ Mac โดยที่ชิป M1 Ultra นั้นมาพร้อมสถาปัตยกรรมการบรรจุชิปอันล้ำสมัยของ Apple ในชื่อ UltraFusion ที่เชื่อมต่อแผ่นวงจรชิป M1 Max สองตัวเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง SoC (System on Chip) ที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงทำให้ Mac Studio ใหม่มีพลังการประมวลผลที่แรงเหลือล้น แต่ยังคงมีประสิทธิภาพต่อวัตต์อยู่ในระดับชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรมเช่นเดิม

Apple เผยโฉม Mac Studio และ Studio Display รุ่นใหม่
NIA เดินหน้าดันไทยสู่ “ฟู้ดเทคซิลิคอนวัลเลย์” พร้อมเผย 3 นวัตกรรมต่อยอดวงการอาหาร

“M1 Ultra เป็นชิปอีกหนึ่งตัวจาก Apple Silicon ที่จะพลิกโฉมทุกอย่างและสร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการ PC อีกครั้ง โดยการเชื่อมต่อแผ่นวงจรชิป M1 Max สองตัวเข้าด้วยกันโดยใช้สถาปัตยกรรมการบรรจุชิป UltraFusion ของเราเอง ทำให้เราสามารถขยับขยายความสามารถของ Apple Silicon ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน” Johny Srouji รองประธานอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ของ Apple กล่าว “ทั้ง CPU อันทรงพลัง, GPU ที่แรงสุดขั้ว, Neural Engine ที่เหนือชั้น, ตัวเร่งความเร็วฮาร์ดแวร์ ProRes และหน่วยความจำแบบรวมขนาดมหึมา เรียกได้ว่าชิป M1 Ultra เข้ามาเติมเต็มผลิตภัณฑ์ตระกูล M1 ในฐานะของชิปที่ทรงพลังและมากความสามารถที่สุดในโลกสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล”

สถาปัตยกรรม UltraFusion

พื้นฐานของชิป M1 Ultra ก็คือชิป M1 Max ที่ทรงพลังและประหยัดพลังงานขั้นสูง และในการสร้างชิป M1 Ultra นั้น มีการเชื่อมต่อแผ่นวงจรชิป M1 Max สองตัวเข้าด้วยกันโดยใช้สถาปัตยกรรมการบรรจุชิปแบบเฉพาะที่ Apple พัฒนาขึ้นเองในชื่อ UltraFusion ซึ่งต่างจากวิธีที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปในการเพิ่มประสิทธิภาพ นั่นคือการเชื่อมต่อชิปสองตัวเข้าด้วยผ่านเมนบอร์ด ซึ่งโดยปกติแล้วต้องแลกมาด้วยความหน่วงที่เพิ่มขึ้น แบนด์วิดท์ที่ลดลง และยังใช้พลังงานมากขึ้นด้วย แต่ UltraFusion สุดล้ำของ Apple ใช้ซิลิคอนอินเตอร์โพเซอร์ที่เชื่อมต่อชิปเข้าด้วยกันผ่านสัญญาณมากกว่า 10,000 จุด ทำให้มีแบนด์วิดท์ความหน่วงต่ำระหว่างโปรเซสเซอร์ที่สูงถึง 2.5TB/s หรือสูงกว่าถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับแบนด์วิดท์ของเทคโนโลยีชั้นนำที่ใช้ในการเชื่อมต่อชิปหลายตัวเข้าด้วยกัน และวิธีนี้ยังช่วยให้ชิป M1 Ultra ทำงานและดูเหมือนเป็นชิปตัวเดียวในมุมมองของซอฟต์แวร์อีกด้วย นักพัฒนาจึงสามารถใช้ประโยชน์จากประสิทธิภาพของชิปได้ทันทีโดยไม่ต้องเขียนโค้ดใหม่ ซึ่งแตกต่างจากอะไรๆ ที่เคยมีมาโดยสิ้นเชิง

ประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน

ชิป M1 Ultra มาพร้อม CPU แบบ 20-core ที่ทรงพลังขั้นสุด โดยมีคอร์ประสิทธิภาพสูง 16 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงานสูง 4 คอร์จึงมีประสิทธิภาพขณะทำงานแบบหลายเธรดสูงกว่าชิปเดสก์ท็อป PC แบบ 16-core ที่เร็วที่สุดที่มีจำหน่ายถึง 90% ภายในกรอบการใช้พลังงานที่เท่ากัน นอกจากนี้ชิป M1 Ultra ยังแรงเทียบเท่ากับประสิทธิภาพระดับสูงสุดของชิป PC แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 100 วัตต์ ซึ่งเมื่อประหยัดพลังงานได้อย่างน่าทึ่งขนาดนี้ จึงใช้พลังงานน้อยลงและช่วยให้พัดลมทำงานเงียบแม้แต่ในระหว่างที่แอปอย่าง Logic Pro จัดการกับเวิร์กโฟลว์หนักๆ อย่างการประมวลผลเครื่องดนตรีเสมือน ปลั๊กอินเสียง และเอฟเฟ็กต์มากมายมหาศาลได้อย่างง่ายดาย

สำหรับงานที่เน้นกราฟิกหนักๆ อย่างการเรนเดอร์ 3D และการประมวลผลภาพที่ซับซ้อนนั้น ชิป M1 Ultra ก็มี GPU แบบ 64-core ซึ่งใหญ่กว่าชิป M1 ถึง 8 เท่า จึงมีประสิทธิภาพเร็วยิ่งกว่า GPU ระดับสูงสุดใน PC แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 200 วัตต์

สถาปัตยกรรมหน่วยความจำแบบรวมของ Apple ก็ขยับขยายไปพร้อมกับชิป M1 Ultra เช่นกัน โดยที่แบนด์วิดท์หน่วยความจำเพิ่มขึ้นเป็น 800GB/s หรือมากกว่าชิปเดสก์ท็อป PC รุ่นล่าสุด 10 เท่า ส่วนชิป M1 Ultra สามารถปรับแต่งหน่วยความจำแบบรวมได้สูงสุด 128GB นอกจากนี้เมื่อเทียบกับการ์ดกราฟิก PC ที่ทรงพลังที่สุดที่มีหน่วยความจำสูงสุดเพียง 48GB แล้ว ชิป M1 Ultra ก็ทิ้งห่างไปไกลในด้านกราฟิกหน่วยความจำที่พร้อมรับมือกับเวิร์กโหลดที่เน้น GPU เป็นหลัก อย่างการทำงานกับเรขาคณิต 3D ที่สลับซับซ้อนและการเรนเดอร์ฉากขนาดมหึมา

Neural Engine แบบ 32-core ในชิป M1 Ultra สามารถประมวลผลได้สูงสุด 22 ล้านล้านรายการต่อวินาที จึงจัดการกับงานด้านการเรียนรู้ของระบบที่ท้าทายได้อย่างรวดเร็วและชิป M1 Ultra ยังมาพร้อมมีเดียเอนจิ้นที่มีความสามารถเหนือกว่าชิป M1 Max ถึง 2 เท่า จึงสามารถเข้ารหัสและถอดรหัสวิดีโอ ProRes ได้เร็วอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน อย่าง Mac Studio ใหม่ที่มีชิป M1 Ultra นั้นสามารถเล่นวิดีโอ ProRes 422 ระดับ 8K ได้สูงสุดถึง 18 สตรีม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีชิปไหนทำได้ นอกจากนี้ชิป M1 Ultra ยังใช้เทคโนโลยีแบบเฉพาะของ Apple อย่างเอนจิ้นการแสดงผลที่สามารถเชื่อมต่อกับจอภาพภายนอกได้หลายจอ, ตัวควบคุมแบบ Thunderbolt 4 ในตัว และระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุด รวมถึง Secure Enclave รุ่นล่าสุดของ Apple, ระบบการบูทที่ปลอดภัยซึ่งยืนยันด้วยฮาร์ดแวร์ และเทคโนโลยีป้องกันการเจาะช่องโหว่ขณะรันไทม์

macOS และแอปพร้อมแล้วสำหรับชิป M1 Ultra

สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในประสบการณ์การใช้งาน Mac มาโดยตลอดคือการทำงานที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ และ macOS Monterey ก็ถูกออกแบบมาสำหรับ Apple Silicon เพื่อใช้ประโยชน์จาก CPU, GPU และแบนด์วิดท์หน่วยความจำที่เพิ่มมากขึ้นของชิป M1 Ultra อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีสำหรับนักพัฒนาอย่าง Metal ที่ทำให้แอปรีดประสิทธิภาพจากชิปใหม่ได้เต็มที่ ส่วน Core ML ก็ผ่านการปรับแต่งมาเพื่อใช้ประโยชน์จาก Neural Engine แบบ 32-core ใหม่ ส่งผลให้โมเดลการเรียนรู้ของระบบทำงานได้เร็วยิ่งกว่าที่เคย

ผู้ใช้ Mac สามารถเข้าถึงคอลเลกชั่นแอปที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงแอป iPhone และ iPad ซึ่งวันนี้สามารถทำงานบน Mac ได้แล้ว และแอปแบบ Universal ที่ดึงขุมพลังของชิปตระกูล M1 มาใช้ได้อย่างเต็มที่ ส่วนแอปที่ยังไม่ได้อัปเดตเป็นแบบ Universal ก็สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นด้วยเทคโนโลยี Rosetta 2 ของ Apple

อีกหนึ่งก้าวกระโดดที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่ Apple Silicon

Apple ได้นำ Apple Silicon มาใช้กับ Mac ที่มีจำหน่ายในปัจจุบันเกือบทุกรุ่นแล้ว และชิปใหม่แต่ละตัว ทั้ง M1, M1 Pro, M1 Max และวันนี้ M1 Ultra ก็ได้ปลดล็อคความสามารถอันน่าทึ่งให้กับ Mac นอกจากนี้ชิป M1 Ultra ยังเข้ามาเติมเต็มชิปตระกูล M1 โดยการเป็นขุมพลังให้กับ Mac Studio แบบใหม่หมด ซึ่งเป็นระบบเดสก์ท็อปประสิทธิภาพสูงในดีไซน์กะทัดรัดที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่และเป็นจริงได้เพราะ Apple Silicon ซึ่งมีประสิทธิภาพต่อวัตต์ในระดับชั้นแนวหน้าของอุตสาหกรรม

Apple Silicon กับสิ่งแวดล้อม

ความสามารถในการประหยัดพลังงานของซิลิคอนแบบเฉพาะของ Apple ช่วยให้ Mac Studio ใช้พลังงานน้อยลงตลอดอายุการใช้งาน และถึงแม้ว่า Mac Studio จะมีประสิทธิภาพที่เหนือชั้น แต่กลับใช้พลังงานน้อยกว่าถึง 1,000 กิโลวัตต์-ชั่วโมงในระยะเวลาหนึ่งปี เมื่อเทียบกับเดสก์ท็อป PC ระดับไฮเอนด์5

วันนี้การดำเนินงานของบริษัท Apple ทั่วโลกมีความเป็นกลางทางคาร์บอน และภายในปี 2030 เราวางแผนที่จะลดผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศให้เป็นศูนย์ในทุกภาคส่วนของธุรกิจ ซึ่งรวมถึงซัพพลายเชนการผลิตและวงจรชีวิตของสินค้าทั้งหมด และนั่นยังหมายความว่าชิปทุกตัวที่ Apple สร้างขึ้นจะมีความเป็นกลางทางคาร์บอน 100% ด้วยตั้งแต่ขั้นตอนของการออกแบบจนถึงการผลิต

Scroll to Top